25.9.08

Romanee-Conti

1999 Richebourg from Domaine de la Romanee-Conti
…by Ladymoon


At the beginning of Manga “Kami no Shizuku” or “Drops of God”, Shizuku and Miyabi have met in a restaurant where Miyabi works. She got in trouble with her customer for serving 1999 Richebourg from Domaine de la Romanee-Conti producer. Shizuku came to the rescue by showing off his skill in decanting effortless and impressing the customer on the taste of the same wine served earlier by Miyabi. If you wonder why a wine in the same bottle can taste differently, I suggest you to go back to my earlier article about “Decanting Wine”. For now, I’d like to introduce you to know “1999 Richebourg from Domaine de la Romanee-Conti”.
ในตอนเริ่มเรื่องของ “Kami no Shizuku” หรือ “Drops of God” ชิซึกุกับมิยาบิได้พบกันในร้านอาหารที่มิยาบิทำงานอยู่ เธอกำลังเดือดร้อนเพราะต้องเสริฟไวน์ 1999 Richebourg ของ Domaine de la Romanee-Conti ชิซึกุได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือด้วยการโชว์ฝีมือการดีแคนท์ไวน์ จนลูกค้าประทับใจกับรสชาติของไวน์ที่ถูกเสริฟโดยมิยาบิก่อนหน้านี้ ถ้าคุณนึกสงสัยว่าทำไมไวน์ขวดเดียวกันจึงมีรสชาติแตกต่างกันได้ ขอให้ย้อนกลับไปอ่านเรื่อง “Decanting Wine” อีกครั้งนะคะ สำหรับตอนนี้ดิฉันจะขอแนะนำให้คุณได้รู้จักกับ “1999 Richebourg from Domaine de la Romanee-Conti”

The superior wine with ruby-red color and the aroma of black plum, blackberry, violet, minerals, earth and flowers, plus an exotic suggestion of blood orange. Full, suave and dense; manages to be utterly silky and precise at the same time. Wonderfully fresh and perfumed in the mouth. Finish with great mounting persistence and purity. All of these flavors you can find only in great Richebourg. This primary wine that developed in bottle for a long time. It cost more than US $2,000 a bottle.
สุดยอดไวน์ที่มีสีแดงทับทิม พร้อมกลิ่นหอมของลูกพลัม, แบล็คเบอรี่, ดอกไวโอเล็ต, น้ำแร่, กลิ่นดินผสมดอกไม้บวกกับกลิ่นส้ม ด้วยรสชาติที่เข้มข้นแต่นุ่มละมุนในเวลาเดียวกัน ยามอยู่ในปากจะให้ความสดชื่นและกลิ่นอันหอมหวล และทิ้งรสชาติอันนุ่มละมุนไว้ในปากของคุณ รสชาติแบบนี้คุณจะหาได้จาก Richebourg ชั้นเยี่ยมเท่านั้น สุดยอดไวน์ขวดนี้ถูกเก็บบ่มไว้ในขวดมานานปี สนนราคากว่า US $2,000 ต่อขวด

”Among the 100 wines which it is necessary to taste before dying” was said by Decanter the British magazine specialist in the wine, three of the ten first come from the Domaine de la Romanee-Conti.
”หนึ่งในไวน์ 100 ชนิดที่ต้องขอลิ้มรสก่อนตาย” คือคำกล่าวของ Decanter นิตยสารไวน์ชั้นนำของอังกฤษ 3 อันดับแรกนั้นล้วนมาจาก Domaine de la Romanee-Conti

Domaine de la Romanee-Conti located on the Côte de Nuits, the village of Vosne-Romanee is one of the most known villages of Burgundy. It is worldwide known, with its 200 hectares which surrounding the six great vintages grow: Richebourg, La Romanee, Romanee-Conti, Romanee Saint-Vivant, Grande Rue and La Tâche, which is also a monopoly of the Domaine de la Romanee-Conti. The most famous of these vintages is the famous Romanee-Conti, one of the most expensive and rarest wines of planet.
Domaine de la Romanee-Conti ตั้งอยู่ที่ Côte de Nuits, หมู่บ้าน Vosne-Romanee เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่รู้จักกันดีในแคว้นเบอร์กันดี เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกว่าพื้นที่ 200 เฮคตาร์นี้ล้อมรอบด้วยไวน์พันธุ์ดีที่ผลิตไวน์ชั้นนำถึง 6 ชนิด : Richebourg, La Romanee, Romanee-Conti, Romanee Saint-Vivant, Grande Rue and La Tâche ซึ่งเป็นผลผลิตของ Domaine de la Romanee-Conti ทั้งสิ้น ที่โด่งดังสุดๆ ก็คือ Romanee-Conti ไวน์ราคาแพงที่สุดและหาได้ยากที่สุดในปฐพี

The Domaine de la Romanee-Conti can trace back its origin at the Roman time. It has been exploited for the first time in 1232, the part of Romanee-Conti changed of owner only nine times. The creation comes from the 15th century, and has been planted only “pinot noir” by the monks of Saint-Vivant. It did not move from since time.
The Domaine de la Romanee-Conti ย้อนประวัติกลับไปถึงยุคโรมันโน่น เริ่มต้นกันที่ประมาณปี ค.ศ. 1232 Romanee-Conti เปลี่ยนเจ้าของมาแล้ว 9 ครั้ง เริ่มจากศตวรรษที่ 15 ที่มีการปลูกองุ่นพันธุ์ “pinot noir” โดยพระแห่ง Saint-Vivant และปลูกมาจนถึงทุกวันนี้

The monks went to seek the “pinot noir” in the forests of Burgundy, which was selected with great care. This part is located between Gevrey and Vougeot, on a fine clay ground, which one does not find in his neighbourhood. It looks towards the South in the direction of Richebourg. The natural drainage is perfect there.
พระจะต้องเข้าไปเสาะหา “pinot noir” ถึงในป่าของแคว้นเบอร์กันดี และต้องคัดเลือกอย่างใส่ใจ บริเวณนี้อยู่ระหว่าง Gevrey กับ Vougeot เป็นดินที่ดีที่สุดที่ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว อยู่ทางตอนใต้ของ Richebourg พื้นที่ตรงนั้นมีการระบายน้ำตามธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุด

At the 17th century, the nobility started to be interest in the vineyard of Romanee. In 1760, Prince Louis François of Bourbon-Conti and Madame Pompadour fought for the ownership of this field. Prince de Conti won and gave his name to Romanee-Conti. He had owned this place from 1760 to 1793.
พอถึงศตวรรษที่ 17 มีเชื้อพระวงศ์สนใจไร่องุ่นแห่งนี้ ในปี 1760 เจ้าชายหลุยส์ฟรังซัวร์ แห่งบูร์บองคองติ และมาดามปอมปาดัวร์ แย่งชิงกันเพื่อเป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ สุดท้ายเจ้าชายเป็นฝ่ายชนะ และตั้งชื่อโดยใช้พระนามของพระองค์ว่า Romanee-Conti ทรงครอบครองที่นี่ตั้งแต่ปี 1760 ถึงปี 1793

In 1869, Romanee-Conti becomes the property of Mr. Davault. In 1942, his grandson, Mr. De Villaine, became joint owner of this part with the Leroy family. The two families are associated exploit also other great vintages.
พอถึงปี 1869 Romanee-Conti ก็ตกเป็นสมบัติของ Mr. Davault และในปี 1942 หลานของเขา Mr. De Villaine ก็เข้ามาเป็นเจ้าของร่วมกับตระกูล Leroy ทั้ง 2 ตระกูลร่วมกันผลิตไวน์ชั้นนำในชื่ออื่นๆ ด้วย

Because of the scarcity of Romanee-Conti (6,000 bottles per year) the owners have to sell these wines in a mixed 12 bottles case. This case contains a bottle of Romanee-Conti and 11 other bottles among the other great vintages of the field (Echezeaux, Grands Echezeaux, La Tâche, Richebourg and Romanée Saint Vivant).
เพราะ Romanee-Conti เป็นไวน์หายาก (ผลิตแค่ปีละ 6,000 ขวดเท่านั้น) ผู้ผลิตจึงต้องขายไวน์ชนิดนี้ทั้งกล่อง โดยบรรจุกล่องละ 12 ขวด ซึ่งใน 1 กล่องจะมี Romanee-Conti อยู่เพียง 1 ขวดเท่านั้น ส่วนอีก 11 ขวดก็จะปนกันไป (Echezeaux, Grands Echezeaux, La Tâche, Richebourg และ Romanée Saint Vivant)

The vines are 30 to 40 years old on average and the vintage is made as late as possible. The wine resulting from the youngest vines is not assembled, but it is marketed near the trades of Burgundy. Sort grapes is made in the Domaine. The wines are out-of-date out of barrels of oak for 18 months. The unforgettable wines combining power and softness.
ด้วยความที่องุ่นนั้นต้องมีอายุประมาณ 30-40 ปี การผลิตไวน์จึงเป็นไปอย่างช้าๆ องุ่นที่อายุน้อยเกินไปจะไม่ถูกเก็บมาทำไวน์ การคัดเลือกองุ่นจะทำกันที่ไร่ และไวน์ต้องถูกเก็บอยู่ในถังไม้โอ๊กนานถึง 18 เดือนก่อนนำมาบรรจุขวด นี่จึงเป็นไวน์ที่ลืมไม่ลง ซึ่งผสมผสานทั้งความแข็งแกร่งและความอ่อนโยน

Pinot Noir is the noble red grape of Burgundy, capable of ripening in a cooler climate, which Cabernet Sauvignon and Merlot will not reliably do. It is unpredictable and difficult both to grow and to vinify, but results in some of the finest reds in the world. It is believed to have been selected from wild vines two thousand years ago. It is also used in the production of champagne. It is also grown in Alsace, Germany, the U.S., Australia, New Zealand, Croatia, Serbia, Italy, and so forth, with varying degrees of success.
Pinot Noir เป็นองุ่นพันธุ์ดีของแคว้นเบอร์กันดี ปลูกได้ดีในสภาพอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งไม่มีใน Cabernet Sauvignon และ Merlot เพราะทั้งปลูกยากและหาได้ยากจึงทำให้กลายเป็นไวน์แดงที่ดีที่สุดในโลก เชื่อกันว่ามาจากพันธุ์องุ่นป่าที่มีอายุยาวนานมาตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน มีการนำองุ่นพันธุ์นี้ไปทำแชมเปญด้วย นอกจากในเบอร์กันดี ยังสามารถปลูกได้ที่แคว้นอัลซาส ของเยอรมัน ที่สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ โครเอเชีย เซอร์เบีย อิตาลี

Burgundy is the province of eastern France, famous for its red wines produced from Pinot Noir and its whites produced from Chardonnay. The most famous part of the region is known as the Cote d'Or. It is divided into the Cote de Beaune, south of the town of Beaune , and the Cote de Nuits, North of Beaune .
เบอร์กันดีเป็นแคว้นที่อยู่ทางตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส โด่งดังเรื่องการผลิตไวน์แดงจากองุ่นพันธุ์ Pinot Noir และไวน์ขาวที่ผลิตจาก Chardonnay บริเวณที่รู้จักกันดีก็คือ Cote d'Or ซึ่งแบ่งออกเป็น Cote de Beaune อยู่ทางตอนใต้ของเมือง Beaune และ Cote de Nuits อยู่ทางตอนเหนือของเมือง Beaune

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.