13.9.10

My Journey’s Diary : Trip to Korea Episode 1 – Hello…South Korea^^



This trip to South Korea of me, except go to 2010 JKS Asia Tour the Last in Seoul, I also have a chance to visit some places in South Korea. So, I’d like to share my trip here. (Mostly I’ll write in Thai ^^)

The morning sky outside our plane while we fly to South Korea.


การเดินทางครั้งนี้นอกจากการไปร่วมงานแฟนมีตปิดเอเชียทัวร์ของจางกึนซ็อก อย่างที่ดิฉันได้เล่าให้ฟังไปแล้วเมื่อวันก่อน เรายังมีโอกาสได้แวะไปเที่ยวชมสถานที่บางแห่ง (เท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย) ในประเทศเกาหลีอีกด้วย ความจริงแล้วสถานที่ท่องเที่ยวในเกาหลีนั้นมีมากมาย ต่อให้คุณไปอยู่สักเดือนก็คงจะเที่ยวไม่หมด หลายคนเวลามีเพื่อนมาชวนไปเที่ยวเกาหลีมักชอบพูดว่า “ไม่อยากไปแล้ว เคยไปมาแล้ว” แต่ดิฉันกล้าพูดได้ว่าที่คุณบอกว่าเคยไปมาแล้ว คุณยังไม่ได้เห็นทั้งหมดของเกาหลีแน่ๆ แม้แต่ในสถานที่เดียวกันแต่ต่างฤดูกาล ก็ยังมีความสวยงามที่แปลกแตกต่างไม่เหมือนกัน

ก่อนที่จะเริ่มเล่าถึงการเดินทางของเรา ดิฉันขอพูดถึงผู้ร่วมเดินทางก่อน นับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อยสำหรับกลุ่มแฟนคลับของจางกึนซ็อก ที่ว่าน่าแปลกใจก็คือ แฟนคลับของคุณจางช่างมีความหลากหลายจริงๆ ในทริปนี้แน่นอนทุกคนเป็นแฟนคลับของคุณจาง ไม่งั้นคงไม่สู้อุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อไปดูคุณเธอร้องเพลง (เพี้ยน) ไกลถึงประเทศเกาหลี ผู้ร่วมทริปครั้งนี้เรามีตั้งแต่วัยนักศึกษา ก็คืออายุ 18 ปี ไปจนถึงวัยพี่ป้าน้าอา ก็คือ 50-60 ปี และมีหลากหลายสาขาอาชีพ ทั้งนักศึกษา สาวออฟฟิศ ทำธุรกิจส่วนตัว พยาบาล คุณครู โปรแกรมเมอร์ ไปจนถึงวิศวกร ถือว่ามีความหลากหลายสูงจริงๆ และส่วนใหญ่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่พอเริ่มเข้ากลุ่มกันก็สามารถพูดคุยกันได้แบบ NON-STOP ราวกับรู้จักกันมาแรมปีเลยทีเดียว ใครมาเห็นเข้าคงนึกว่าสาวๆ กลุ่มนี้คงเป็นเพื่อนรักเพื่อนซี้กันมานาน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณจางคนเดียวจริงๆ

การเดินทางของเราเริ่มต้นขึ้นในคืนวันที่ 2 ก.ย. โดยเรานัดพบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา 3 ทุ่มครึ่ง ดิฉันไปถึงที่นั่นราวๆ 2 ทุ่มครึ่งและได้พบกับน้องแพน เจ้าหน้าที่ของลีลาวดี ฮอลิเดย์ ซึ่งมารอต้อนรับอยู่ พอมาถึงน้องแพนก็ยื่นเอกสารให้เซ็นทันที เอกสารที่ว่าก็คือเอกสารในการเข้า-ออกประเทศซึ่งเราต้องใช้ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองทั้งของฝั่งไทยและฝั่งเกาหลี เอกสารทั้งหมดบริษัททัวร์จัดเตรียมให้เสร็จสรรพ กรอกมาให้เรียบร้อย เราแค่เซ็นชื่ออย่างเดียว อะไรมันจะสะดวกสบายขนาดนี้ สำหรับใครที่จะเดินทางไปเที่ยวเองในครั้งหน้า อย่าลืมศึกษาวิธีกรอกเอกสารพวกนี้ด้วยนะคะ เพราะคุณจะต้องกรอกเองทั้งหมด ถ้าคุณเอาไปยื่นทั้งๆ ที่ยังไม่กรอก คุณจะโดนเจ้าหน้าที่ไล่กลับมาค่ะ

หลังจากนั้น น้องแพนก็จัดการเอา TAG ติดกระเป๋ามาห้อยให้อย่างเรียบร้อย เจ้า TAG ที่ว่านี้มันมีความสำคัญตอนที่เราจะไปรับกระเป๋าปลายทางค่ะ นอกจากจะมีตราของลีลาวดีเป็นจุดสังเกตแล้ว น้องเค้ายังทำรูปการ์ตูนฮวางแทคยองใส่มาให้ด้วย ทำให้เราหากระเป๋าของเราได้ง่ายขึ้นอีกด้วย พอทุกคนมากันเกือบครบแล้ว ก็เริ่มปฏิบัติการโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง ซึ่งคุณรัชจัง (หัวหน้าทัวร์) และน้องแพนกับน้องการ์ตูน (เจ้าหน้าที่ของลีลาวดี) ก็จัดการมาเก็บพาสปอร์ตจากทุกคนไปดำเนินการให้ จากนั้นก็แค่รอเวลาขึ้นเครื่องค่ะ

เวลาประมาณเที่ยงคืน เราก็เริ่มขึ้นเครื่องกัน นี่คือสภาพภายในเครื่องของเจจูแอร์ค่ะ (เจจู ไม่ได้มาจาก “เจ๊จู” นะคะ แต่เป็นชื่อเกาะเจจู ในประเทศเกาหลีใต้ค่ะ)

Inside Jeju Air

เราต้องใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมง สายการบินนี้น่าจะเป็นที่นิยมใช้สำหรับชาวเกาหลีมากกว่าคนชาติอื่นๆ เพราะทั้งลำมีแต่เกาหลี มีเจ๊กลุ่มนี้ล่ะค่ะที่เป็นคนไทยไปโผล่อยู่บนเครื่องของเค้าได้ไงก็ไม่รู้ กัปตันท่านก็ทักทายเป็นภาษาเกาหลี ช่วงที่เป็นภาษาอังกฤษก็ยังเป็นอังกฤษแบบเกาหลี ฟังไปงงไปกันเลยทีเดียว การเดินทางขาไปเที่ยวนี้เราต้องเจอกับพายุเล็กน้อย เพราะก่อนหน้าที่เราเดินทางวันเดียวมีพายุเข้าที่เกาหลี และถล่มบ้านเมืองซะระเนระนาดเลยทีเดียว ตามข่าวที่เห็นทางทีวีและคำยืนยันจากไกด์ท้องถิ่นของเราเอง ตอนที่เราไปพายุสงบแล้ว แต่ก็ยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง เครื่องที่เรานั่งก็เลยมีสั่นไหวเล็กน้อย และไฟที่ให้รัดเข็มขัดก็ติดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา มันดังติ๊งๆ ไปตลอดทาง ทำให้เรานอนแบบหลับๆ ตื่นๆ เราถูกปลุกแบบจริงจังเมื่อคุณแอร์โอสเตสเริ่มเสริฟอาหารเช้า ซึ่งเป็นขนมปัง (แข็งๆ), กล้วย (ก็แข็ง), โยเกิร์ต, และน้ำส้มจากส้มชื่อดังของเกาะเจจู (เปรี้ยวมากๆ) เค้ามีเสริฟชา/กาแฟ ด้วยนะคะ ดิฉันขอชา ที่ได้มาก็คือชาเขียว (งง???) สรุปว่าถึงอาหารจะแปลกๆ ไปสักหน่อย แต่กัปตันก็สามารถพาเราไปถึงอินชอนได้อย่างปลอดภัย (แต่นั่งเครื่องนาน 5 ช.ม. มันก็ปวดเอวเหมือนกัน ในใจก็นึกว่า...อีซ็อก ทำไมฉันต้องมาลำบากขนาดนี้ด้วยฟะ) และวิวนอกหน้าต่างก็สวยงามมากๆ อย่างรูปแรกด้านบนนั่นค่ะ

และแล้วเราก็มาถึงอินชอน ได้ลงเหยียบแผ่นดินเกาหลีโดยสวัสดิภาพทุกคน (ในตอนนั้นหลายคนคงคิดว่าได้สูดอากาศเดียวกับซ็อกแล้ว ) ต้องขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะคะว่า ก่อนที่เราจะเดินทางมาครั้งนี้สิ่งที่ทั้งดิฉันและลีลาวดีหวั่นใจเป็นที่สุดก็คือ เราจะสามารถพาทุกคนผ่านเข้าประเทศเกาหลีได้หรือไม่? หลายคนคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ความโหดของ ต.ม. เกาหลีกันมาแล้ว มีคนบอกว่าประเทศเกาหลีนั้นมาง่ายแต่เข้ายาก ซึ่งหมายความว่า แค่คุณมีพาสปอร์ตก็มาได้ ไม่ต้องขอวีซ่า แต่พอมาถึงแล้วคุณจะผ่านเข้าเมืองได้หรือไม่ อันนี้แล้วแต่ดวงค่ะ บางคนเจ้าหน้าที่ ต.ม. ถูกชะตาเป็นพิเศษก็เรียกไปคุยด้วยในห้องเป็นนานสองนาน ทุกคนที่ไปทริปนี้กับดิฉันคงทราบดีว่าดิฉันย้ำแล้วย้ำอีกแค่ไหนเรื่องการเตรียมตัวผ่าน ต.ม. เพราะเป็นเรื่องที่ดิฉันค่อนข้างกังวลมากจริงๆ เพราะหากคุณผ่านเข้าเมืองไม่ได้ นั่นแปลว่าชื่อของคุณจะถูกขึ้นบัญชีดำ (แบล็คลิสต์) ด้วย

และเมื่อเรามาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง พอยื่นพาสปอร์ตปุ๊บ คุณพี่แกเหลือบมองเล็กน้อยว่าหน้าเหมือนในพาสปอร์ตมั้ย แล้วก็ประทับตราปัง เสร็จแล้วก็โบกมือให้รีบผ่านไปโดยไวอย่ายืนเกะกะ ปรากฏว่าทุกคนผ่านมาได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีใครถูกซักถามอะไรเลย เป็นที่อัศจรรย์ใจทั้งของดิฉันและคุณรัชจังเป็นอย่างมาก รัชจังถึงกับออกปากว่า นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาทำทัวร์มา ที่ไม่มีใครในกรุ๊ปโดนเรียกสอบสวนเลยสักคนเดียว สงสัยเจ้าหน้าที่คงเล็งเห็นแล้วว่า ดูจากหุ่นแล้วคงไม่มีใครคิดจะจ้างป้าๆ กลุ่มนี้ไว้ทำงานเป็นแน่ เพราะเดี๋ยวจะมาเป็นลมแถวนี้ให้เค้าลำบากเปล่าๆ

แล้วก็ถึงเวลาที่เราจะได้พบกับไกด์ท้องถิ่นของเรา น้องต่าย เธอเป็นคนไทยแท้ (ออกเหน่อราชบุรีชัดเจน) แต่มาทำงานเป็นไกด์อยู่ที่เกาหลีนี่ น้องต่ายออกสไตล์สาวเกาหลีทั้งเสื้อผ้าหน้าผมเลยทีเดียว นอกจากน้องต่าย ก็ยังมีคุณลุงคนขับรถและรถบัสประจำตำแหน่งที่เราจะใช้บริการไปตลอด 4 วันนี้อีกด้วย คุณลุงขยันขันแข็งมาก ก้มหน้าก้มตายกกระเป๋าใส่รถอย่างแข็งขัน พอรถเริ่มขยับน้องรัชจังก็ขยับแกะกล่องที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาด้วยจากเมืองไทย ซึ่งดิฉันก็สงสัยอยู่นานแล้วว่ามันคืออะไร ในนั้นมันก็คือ...เค้กกล้วยหอมกับบัตเตอร์เค้กของ S&P ที่เราแสนจะคุ้นเคย มันตามเรามาถึงเกาหลีเชียวหรือนี่?


Our bus…



น้องรัชจังและน้องต่ายเดินแจกขนมพร้อมน้ำดื่ม ซึ่งดูไฮโซอย่างมาก เพราะมันเป็นน้ำแร่ น้องต่ายอธิบายว่าคนเกาหลีนิยมดื่มน้ำแร่ ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ทำให้เค้ามีน้ำแร่เยอะ น้ำแร่จึงเป็นเครื่องดื่มปกติของเขาเหมือนกับน้ำเปล่าบ้านเรานั่นเอง และทุกที่จะมีน้ำแร่ที่ว่านี้ให้เราเติมใส่ขวดได้แบบฟรีๆ ไม่คิดตังค์

อย่างแรกที่เราทำเมื่อมาถึงเกาหลีคืออะไร? หลายคนคงเดาว่าเราต้องไปแวะเที่ยวที่ใดที่หนึ่งก่อนเป็นแน่ แต่ไม่ใช่เลยค่ะ สิ่งแรกที่เราทำก็คือ “กิน” ค่ะ มื้อแรกในเกาหลีก็คือเจ้านี่ค่ะ “ทักคาลบิ” หรือไก่/หมูกระทะเกาหลี นี่คือมื้อกลางวันวันแรกของเรา

Takkalbi, our first meal in South Korea


เจ้า “ทักคาลบิ” ที่ว่านี้ก็คือ ไก่/หมูหมัก วางอยู่บนผักนานาชนิด เสริฟอยู่บนกระทะใหญ่ยักษ์มหึมา ซึ่งเราต้องทำการผัดมันซะก่อน ผัดๆ คลุกๆ จนสุกแล้วก็กินร้อนๆ กินไปได้สักแป๊บ อาจุมม่าก็เอาข้าวมาโปะลงไป เราก็ผัดต่อไปคล้ายๆ ข้าวผัดเลยทีเดียวค่ะ เพียงแต่ว่ามันเยอะมากกก กินยังไงก็ไม่หมดซะที และแน่นอนค่ะอาหารเกาหลีต้องมีเครื่องเคียง ก็คือพวกผักสดและผักดองต่างๆ กิมจิกับซุปสาหร่ายเป็นอะไรที่เราต้องเจอกับมันทุกมื้อ ทุกวัน ต่อจากนี้ไป ตลอด 4 วันค่ะ

Side dish…


หลังจากอิ่มจากมื้อนี้แล้ว เราจะเริ่มเที่ยวกันแล้วค่ะ จุดหมายแรกก็คือ นามิซอมหรือเกาะนามิ เกาะแห่งความรัก ไว้เล่าต่อตอนหน้านะคะ...

Next episode will be Namiseom, please stay tuned !!!

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.