15.9.10

My Journey’s Diary : Trip to Korea Episode 3 – English Village, Paradise of Learning



หลังออกจากเกาะนามิแล้ว เราก็ตรงไปที่คยองกี อิงลิช วิลเลจ สวรรค์แห่งการเรียนค่ะ

คยองกี อิงลิช วิลเลจ เป็นความตั้งใจของรัฐบาลเกาหลีที่จะส่งเสริมให้คนของเขาได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ และเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบสากล บรรยากาศทั่วไปในสถานที่แห่งนี้เหมือนจำลองมาจากสถาบันการศึกษาในต่างประเทศเลยทีเดียวค่ะ ทั้งอาคารที่เป็นรูปทรงแบบยุโรป และบรรยากาศโดยรอบด้วยค่ะ

พอไปถึงเราต้องผ่านอาคารนี้ก่อนค่ะ ข้างในเขาจำลองให้เป็นด่านตรวจคนเข้าเมือง โดยมีคุณลุงซึ่งเป็นคนออกมาต้อนรับเราในตอนแรก พอแป๊บเดียวแกก็กลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ ต.ม. เสร็จสรรพ และประทับตราเข้าเมือง “อิงลิช วิลเลจ” ให้กับเราค่ะ ทุกคนจะได้รับพาสปอร์ตของอิงลิช วิลเลจคนละเล่ม เราต้องพูดภาษาอังกฤษกับคุณลุงแกด้วยนะคะ อินเตอร์มากๆๆ...

Gyeonggi English Village…Inside this building is the Immigration Service of English Village.



จากนั้นคุณลุงก็กลายร่างเป็นครูใหญ่ของที่นี่ พาเราเดินชมสถานที่ค่ะ นี่คือโฉมหน้าของคุณลุง และไกด์ทั้งสองท่านของเราค่ะ น้องรัชจังกับน้องต่าย (ดิฉันขอปิดบังใบหน้าสำหรับผู้ร่วมทริปนะคะ เพราะไม่แน่ใจว่ามีใครหนีงาน หนีเพื่อน หนีญาติ มาเที่ยวหรือเปล่า เดี๋ยวจะทำให้เกิดปัญหาในครอบครัวกันไปเปล่าๆ แต่ไกด์ทั้ง 2 ท่าน ดิฉันคิดว่าคงไม่ได้หนีงานมาเป็นไกด์ให้เราแน่ๆ ดังนั้นเปิดเผยใบหน้าให้ดูกันเต็มที่เลยค่ะ)

Our Tour Leader & Local Guide…



คณะสาวงามกำลังเดินชมสถานที่กันค่ะ อาคารของเขาจะเป็นรูปทรงยุโรปแบบนี้ล่ะค่ะ บรรยากาศโอบล้อมด้วยภูเขา อากาศสดชื่นมากๆ คงมีความสุขมากเลยนะคะถ้าได้เรียนอยู่ในสถานที่แบบนี้

All buildings are in European Style and this campus surrounded by beautiful mountain. Really a Paradise of Learning.





ไฮไลต์ของที่นี่ก็คือ เป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่อง “Boys Over Flowers” หรือ F4 ฉบับเกาหลีค่ะ โดยที่นี่ใช้เป็นฉากของโรงเรียนชินฮวา โรงเรียนสุดไฮโซของพวกหนุ่มๆ F4 ค่ะ มีรูป 4 หนุ่มกับ 1 สาว ไว้ให้ถ่ายรูปเต็มไปหมดเลยค่ะ ในห้องเรียนของ 4 หนุ่ม มีโต๊ะที่หนุ่มๆ เคยนั่งเรียนให้เราถ่ายรูปกันด้วย เนื่องจากโต๊ะไม่ว่างเลย มีแต่คนเข้าไปจับจองขอนั่งกันตลอดเวลา จึงไม่มีรูปมาฝากนะคะ

This place was the location for shooting “Boys Over Flowers” as Shin-hwa School.








สำหรับอาหารมื้อค่ำของวันแรกนี้ก็คือ ชาบู ชาบู แบบเกาหลีค่ะ นั่งกินกันบนพื้นแบบนี้ราวกับอยู่ในบ้านเลยทีเดียว (อันนี้เป็นครอบครัวมาดามจางค่ะ...555) ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นตู้ด้านหลังเต็มไปด้วยสิ่งที่เราคุ้นเคยจากในละคร นั่นก็คือเหล้าโซจูขวดเขียวๆ และเบียร์ CASS เบียร์เกาหลีค่ะ

Our dinner is Shabu Shabu…


นี่เป็นเครื่องเคียงค่ะ สารพัดผักดอง และกิมจิของร้านนี้อร่อยจริงๆ ค่ะ

And side dish…



ชาบู ชาบู หน้าตาเป็นอย่างนี้ค่ะ น้ำซุปอร่อยมากๆ ค่ะ



ไกด์สองท่านของเราบริการทุกระดับประทับใจ กลายร่างเป็นเด็กเสริฟซะแล้ว ในกล่องของรัชจังนอกจากจะมีขนมแล้ว ยังมีน้ำจิ้มสุกี้จากเมืองไทยพกมาด้วยค่ะ (รอดมาได้ไงเนี่ย? เล่นขนน้ำจิ้มสุกี้มาเป็นขวดๆ เลย) เค้ามีทุกอย่างค่ะ แม้แต่น้ำพริกนรก...555



โดยปกติแล้วเกาหลีเป็นประเทศที่ค่าแรงงานค่อนข้างสูง จึงไม่นิยมจ้างเด็กเสริฟนะคะ ส่วนใหญ่ก็คือเจ้าของร้านนั่นแหละเสริฟกันเอง ตามโรงแรมก็จะไม่มีพนักงานยกกระเป๋านะคะ คุณต้องยกไปเอง ของเราโชคดีที่มีทั้งไกด์และคุณลุงคนขับรถคอยช่วยยกโน่นยกนี่ให้ ไม่งั้นคงต้องทั้งแบกทั้งลากกระเป๋ากันไปเอง

ในคืนแรกนี้เราพักกันที่โรงแรมมิรันด้า สปาพลัส ในเมืองอิชอน (ซึ่งอยู่ตรงข้ามร้านชาบูนี่เอง) เป็นเมืองเล็กๆ แต่ขึ้นชื่อเรื่องสถานที่อาบน้ำแร่ค่ะ โรงแรมที่เราพักก็มีบริการอาบน้ำแร่และซาวน่าด้วยค่ะ ตามปกติการใช้บริการพวกนี้เราต้องเสียเงินเพิ่ม แต่ทางลีลาวดีได้จัดการแถมบริการนี้เป็นพิเศษให้กับเรา เพียงแต่ว่าการอาบน้ำแร่แบบเกาหลี (และญี่ปุ่น) เค้าจะไม่สวมเสื้อผ้ากันค่ะ หากคุณสวมเสื้อผ้าโผล่เข้าไปในนั้นคุณจะกลายเป็นตัวประหลาดเลยทีเดียว จึงมีสาวไทย (ใจหาญ) อยู่ไม่กี่ท่านที่สมัครใจใช้บริการพิเศษนี้ค่ะ

วัฒนธรรมการอาบน้ำแร่แบบนี้มักพบในประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น ถือเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวนะคะ เพราะคนในครอบครัวเดียวกันอาบน้ำด้วยกัน ถูหลังให้กัน ถือเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ค่ะ ไม่เหมือนวัฒนธรรมของไทยเราที่ไม่นิยมอาบน้ำร่วมกัน ทางยุโรปเค้าก็มีนะคะ สามีภรรยาอาบน้ำร่วมกันได้ (ประหยัดน้ำดี)

สิ่งหนึ่งที่ดิฉันเห็นจากการเดินทางครั้งนี้ก็คือ ประเทศเกาหลีส่งเสริมมากเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว เราจะเห็นพ่อแม่ลูกออกไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน เดินจูงมือกัน เป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปค่ะ อย่างเช่นห้องพักในโรงแรม คุณจะพบว่าเค้ามีเตียงใหญ่ (แบบควีนไซส์) อยู่ 1 เตียง และยังมีเตียงเดี่ยวอีก 1 เตียงไว้ให้คุณในห้องพัก หากคุณมาเป็นครอบครัว พ่อแม่ลูก ก็สามารถพักร่วมกันได้เลย ถ้าเป็นบ้านเราคงต้องขอเตียงเสริมกันให้วุ่นวาย (แถมเสียตังค์เพิ่มอีกด้วย) ดิฉันถือว่าตรงนี้เป็นวัฒนธรรมที่ดีและน่าชื่นชมค่ะจึงเก็บมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

ในตอนต่อไปเหล่ามาดามจางจะแปลงร่างเป็นแม่บ้านเกาหลีกันแล้วค่ะ คอยติดตามตอนต่อไปนะคะ...

That night we stayed at Miranda Spa Plus Hotel in Ichon. And the next day our ladies will learn how to make kimchi. Don’t miss the next episode ^^

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.