ที่พักลับฮวาเซิน
เสนาบดียอน นั่งดื่มน้ำชา ฟัง แทจังโร รายงานสถานการณ์ ว่าผู้นำทั้ง 3 แคว้น กำลังประชุมศึกพร้อมร่างที่อาบเลือดของลูกชายต่อหน้าบัลลังก์ ทหารม้าเหล็กปฏิเสธที่จะต่อสู้ และพวกเขาพูดบางสิ่งที่น่าสนใจ ว่าทหารราชองครักษ์อารักขาฝ่าบาทและรัชทายาท แต่ทหารม้าเหล็กปกป้องอาณาจักรโคคุเรียว
โซคีฮา แอบฟังอยู่นอกห้อง
เสนาบดียอน ถามถึงรัชทายาท
แทจังโร : "พวกเขาบอกว่าทรงอยู่กับพวกนักโทษที่หนีไป ทรงมีความตั้งใจรวบรวมกองทหารและกลับปราสาทโกกแน ทรงต้องการคุ้มครองเสด็จพ่อ"
แทจังโร เดินไปเดินมาและเหมือนจะรู้ว่า โซคีฮา แอบฟังอยู่ และพูดต่อว่า : "ไม่มีใครในปราสาทโกกแนสนับสนุนฝ่าบาท ไม่มีใครจะหลั่งน้ำตาให้กับความตายของพระองค์" แล้วก็ทรุดตัวลงนั่ง
เสนาบดียอน : "ท่านไม่เคยบอกมาก่อนว่าท่านต้องการสิ่งใดจากเรื่องนี้ มันอาจเป็นเพราะสิ่งนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะให้ได้ใช่ไหม"
แทจังโร : "ข้าเคยบอกท่านแล้วความปรารถนาเดียวของเราก็คือรับใช้กษัตริย์แห่งจูชิน"
เสนาบดียอน : "แล้วท่านได้ประโยชน์อะไร"
แทจังโร ย้อนถามว่า : "เมื่อท่าน โฮแก ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งจูชิน และกษัตริย์แห่งโคคุเรียว มันจะเป็นประโยชน์อะไรกับท่านหรือ ท่านรู้ว่าหน้าที่ของท่านก็คือพ่อของเขา เราก็รู้ว่า หน้าที่ของเราคือ ฮวาเซิน ในวันพรุ่งนี้เช้า กษัตริย์พระองค์ใหม่จะขึ้นครองราชย์ในโคคุเรียว"
ที่ข้างนอกของฮวาเซิน ซารยางและทหารชุดแดงของฮวาเซินเตรียมพร้อม
ที่พระราชวัง ในปราสาทโกกแน ทหารของฉวาเซินบุกเข้ามา ฆ่าทหารยามตายหมด มีคนหนึ่งพยายามกระเสือกกระสนหยิบเขาสัตว์ขึ้นมาเป่าบอกสัญญาณ ทุกคนในพระราชวัง ทั้ง ทหารของ 3 ผู้นำแคว้น ทั้งทหารราชองครักษ์ รวมทั้งเทวีพยากรณ์เอง ล้วนงุนงงว่า นี่เกิดอะไรขึ้น ใครบุกเข้ามา
ทหารราชองครักษ์เข้าประจำหน้าที่ พากันวิ่งไปที่วังหลวงที่ประทับ ถูกทหารฮวาเซิน บนกำแพง ซัดอาวุธลับเข้าใส่ เสียงหัวหน้าองครักษ์สั่งการ อารักขาฝ่าบาท รักษาการณ์ให้ดี แต่ทหารฮวาเซิน ก็รุกเข้ามาส่วนชั้นในของวัง ทีละชั้น ๆ ข้ามศพทหารองครักษ์ที่นอนตายกับพื้น เหล่าองครักษ์หญิงที่วิ่งเข้ามา ก็ค่อยๆล้มตายไปเรื่อยๆ หัวหน้าองครักษ์หญิงกองทหารที่ 3 ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็พยายามถวายการป้องการและอารักขา ตามที่รับพระบัญชาขององค์ชาย คว้าธงมาโบกสะบัดเป็นอาวุธแทน แล้วสั่งผู้ช่วยองครักษ์หญิงด้วยกัน ว่า: "ข้าจะนำเสด็จฝ่าบาทไปสุสานหลวงเจ้ายืนเฝ้าจนกว่าข้าจะกลับมา"
โซคีฮา เปิดประตูห้องพักที่ตัวเองเหมือนถูกคุมตัวไว้ พบว่า หน้าห้องมีทหารฮวาเซิน เรียงรายเฝ้าอยู่ ก็ถอยกลับเข้าห้อง ยืนรวบรวม จิตใจ สติ สมาธิ ความมุ่งมั่น ของตัวเอง แล้วด้วยความรู้สึกที่รุนแรงภายในใจ โซคีฮา เหมือนมีพลังพิเศษ เท้าลอยจากพื้น และมีรัศมีเปลวเพลิง เมื่อออกจากห้องใหม่คราวนี้ ก็ไม่มีทหารฮวาเซิน คนใด จะขวาง โซคีฮา ได้ อีกแล้ว
กัมดง : "ฝ่าบาท"
กั๊กตัง : "พวกเราจะอารักขาฝ่าบาทไปยังสุสานหลวงเพคะ"
กษัตริย์ ประทับยืนนิ่ง หลับพระเนตร
ที่ข้างนอกของที่ประทับกษัตริย์ วุ่นวายจากการอารักขาป้องกัน มีเสียงตะโกนสั่งการขององครักษ์ แต่ก็ถูกทหารฮวาเซิน ฆ่าตาย จนแทบไม่เหลือคนมีชีวิต แล้ว องครักษ์กัมดง กั๊กตัง ก็พากษัตริย์ ออกมาลานชั้นนอกที่ประทับ
โซคีฮา ในชุดขาวเสื้อคลุมดำ ข้ามศพเหล่าองครักษ์มาอย่างรีบร้อน สายตาสอดส่ายหากษัตริย์ แล้วก็ เหมือน นึกได้ว่า ควร จะไปยังที่ใด
กษัตริย์ และองครักษ์ 5-6 คน ก็รีบร้อนที่จะไปสุสานหลวง แล้ว ก็มีเสียงอาวุธอยู่เบื้องหลัง ทหารฮวาเซินรุกเข้าหา องครักษ์ ก็พยามยามคุ้มกันกษัตริย์สุดชีวิต โซคีฮา มาถึงพอดีจากทางเดินด้านข้างอีกด้าน แค่ยกเสื้อคลุมสีดำขึ้น ฟาดใส่ ทหารฮวาเซิน กลุ่มนี้ก็ล้มตายหมด แล้วซารยางก็พาทหารฮวาเซินอีกกลุ่มโผล่เข้ามา โซคีฮา หันไปมอง ทหารฮวาเซินที่มากับซารยางขยับตัวเตรียมพร้อม แต่ซารยางยกมือห้ามไว้ และปลดผ้าคลุมครึ่งหน้าออก มองสบตา โซคีฮา โซคีฮา ก้าวไปหากษัตริย์
เมื่อมาถึงสุสานหลวง กั๊กตังใช้กลไกเปิดประตูของห้องลับ กษัตริย์ก้าวพระบาทเข้าไปข้างใน เพียงพระองค์เดียว ทรงถามองครักษ์ ว่า "แล้วเจ้าล่ะ" องครักษ์ กราบทูลว่า : "สุสานหลวงแห่งนี้ เฉพาะเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่เข้าไปได้" แล้วหันไปทางโซคีฮา : "แล้วอนุญาตให้กับคนที่รับโองการแห่งสวรรค์อีกด้วย กรุณาปกป้องฝ่าบาท" โซคีฮา ก้าวเข้าในห้องลับ ประตูห้องลับเลื่อนปิด กั๊กตังออกมาสบทบผู้ช่วยอีก 2 คน นั่งเฝ้าด้านหน้า
เป็นฉากที่สื่อความถึง เลือดขัตติยะ ความรักลูก และภักดีต่อกษัตริย์จูชิน
กษัตริย์ ประทับนั่งใกล้แท่นบูชา : "ข้ารู้จักเจ้า เจ้าเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับลูกข้า" ทรงยื่นพระหัตถ์ให้ โซคีฮาทรุดตัวลงคุกเข่าตรงหน้าพระพักตร์ฟังรับสั่ง : "เจ้ารักษาข้าตอนที่ข้าถูกวางยาพิษ แล้วเจ้าก็มาอยู่ที่นี่เพื่อช่วยชีวิตข้าอีก"
โซคีฮา ทูลตอบว่า : "หม่อมฉันมาปกป้องพระองค์และจะพาพระองค์ออกไป องค์รัชทายาททรงรอคอยฝ่าบาทอยู่เพคะ เราเตรียมการที่จะให้ทรงพบกัน"
กษัตริย์ : "ออกไป ออกไป ออกไปจากวังของข้าหรือ" ทรงประทับยืน : "เขาบอกให้เจ้าทำหรือ ให้เจ้ามาหาพาข้าไปพบเขา แล้ววิ่งหนี"
โซคีฮา : "ไม่เพคะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่องค์ชายบอกหม่อมฉัน คนข้างนอกนั่น ไม่ได้ต้องการแค่ชีวิตของรัชทายาท แต่พวกนั้นต้องการพระชนม์ชีพของฝ่าบาทด้วย ฝ่าบาทต้องไม่ประทับอยู่ที่นี่อีกต่อไป"
กษัตริย์ : "วิ่งหนี เพื่อรักษาชีวิตตัวเองหรือ"
โซคีฮา : "นั่นเป็นสิ่งที่หม่อมฉันต้องการให้ฝ่าบาททำ หม่อมฉันอยากให้ฝ่าบาทออกจากวัง และทรงมีพระชนม์ชีพ ทีเป็นสุข"
กษัตริย์ : "วิ่งหนีแล้วอยู่อย่างมีความสุขกับเจ้าหรือ"
โซคีฮา : "ฝ่าบาทจะไม่ทรงปลอดภัยหากยังทรงประทับในปราสาทโกกแน ที่นี่สกปรกเกินไป หม่อมฉันจะคุ้มครองทั้งสองพระองค์ และออกไปจากที่นี่ เราไม่มีเวลาแล้ว เราต้องออกไปจากวังก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นเพคะ "
กษัตริย์ : ทรงระบาย ปัสสาสะ (ลมหายใจออก) : "ข้าก็ปรารถนาที่จะเห็นด้วยกับเจ้า ทรงพระราชดำเนินผ่านหน้า" โซคีฮา : "เมื่อใดที่ข้าเห็นเจ้าทั้งสองอยู่ด้วยกัน หัวใจของข้าก็รู้สึกยินดี ทรงหยุดที่หน้าแท่นบูชา : หากว่าเจ้าทั้งสองออกไปได้และอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุข" แล้วทรงหยิบพระแสงดาบของกษัตริย์จูมงขึ้นมา ถอดดาบออกจากฝักมีเสียงกังวานดังขึ้น ดำรัสต่อว่า : "ดูนี่สิ นี่คือดาบศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์จูมง" ทรงยกพระแสงดาบขึ้น : "หลายร้อยปีได้ผ่านไปแล้ว ฝักดาบก็ขึ้นสนิมเป็นปีๆ แต่ดูที่ใบมีดดาบ ยังส่องประกายอยู่เลย มันไม่น่าประหลาดใจหรือ" แล้วทรงลดพระแสงดาบลง
โซคีฮา เริ่มร้อนใจ : "คนข้างนอกมิใช่แค่ทหารธรรมดานะเพคะฝ่าบาทต้องรีบ ..." กราบทูลไม่ทันจบประโยค กษัตริย์ ก็ตรัสขัดจังหวะขึ้นว่า: "เจ้าเห็นแจกันตรงโน้นไหม กษัตริย์ยูริ (พระโอรสของกษัตริย์จูมงกับพระชายาแรก เยโซยา เป็นกษัตริย์องค์ที่ 2 ของราชวงศ์โคคุเรียว) ที่ทรงล่วงลับไปแล้ว ทรงนำมาจากพูยอ พระราชินี ยูฮวา (พระมารดากษัตริย์จูมง) ทรงทำด้วยพระองค์เอง เจ้าเอามาให้ข้าได้ไหม"
โซคีฮา งง กับพระดำรัส แต่ก็เดินไปหยิบแจกันขึ้นจากแท่นบูชา แล้วก็มีเสียง ฝักพระแสงดาบหล่นลงพื้น และมีเสียงดังของพระแสงดาบ เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกตะลึง แจกันร่วงหล่นลงแตกกระจาย เพราะกษัตริย์ทรงใช้พระแสงดาบนี้แทงพระองค์เองที่พระอุระ โซคีฮา ปราดเข้าไปประคองกษัตริย์ที่ทรุดพระองค์ลงพื้น กษัตริย์ทรงหันมาทางโซคีฮา ตรัสว่า : "อภัยให้ข้าด้วยเด็กน้อย ลูกข้า...ผู้ซึ่งเกิดภายใต้ดวงดาวจูชิน ไม่ว่า เจ้า...หรือข้า...ก็หยุดโชคชะตานี้ไม่ได้ ลูกชายข้า ทัมด๊ก จะต้องไม่วิ่งหนีสิ่งใด เขาทำไม่ได้ เด็กน้อย…อภัยให้ข้า ที่แยกเขาจากเจ้า"
โซคีฮา ร้องไห้ : "ทำไม ทำไม ทำไมทรงทำเข่นนี้ฝ่าบาท" โซคีฮา ออกแรงดึงพระแสงดาบออก แล้ว พระแสงดาบก็หลุดออกกระเด็นตกลงพื้น โซคีฮา และกษัตริย์ ฟุบอยู่ที่พื้น องครักษ์ กั๊กตัง ได้ยินเสียงผิดปกติ ก็เข้ามา ปราดเข้าประคองกษัตริย์ โซคีฮา ร้องไห้ น้ำตาหลั่งไหลไม่ขาดสาย ได้แต่เรียก ฝ่าบาท องครักษ์ เอามือปิดแผลที่พระอุระของกษัตริย์ มีพระโลหิตท่วมพระอุระ กษัตริย์ ทรงมีพระดำรัสกับองครักษ์ อย่างยากลำบาก ขาดเป็น ห้วง ๆ ว่า : "ดาบ เอาไปให้รัชทายาท ดาบศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์จูมง บอกรัชทายาทว่า ถ้าเขาต้องการแก้แค้นให้กับความตายของข้า เขาต้องเป็นกษัตริย์จูชิน เจ้าต้องส่งข้อความนี้ให้กับเขา"
โซคีฮา ร้องไห้ปิ้มว่าจะขาดใจเริ่มเข้าใจการกระทำของกษัตริย์ แต่ก็ได้แต่ร้องเรียก "ฝ่าบาท....ฝ่าบาท" (เหมือนจะตัดพ้อน้อยใจกษัตริย์ด้วยว่า ทำไมทรงทำกับหม่อมฉันเช่นนี้ )
กษัตริย์ สิ้นพระชนม์ องครักษ์วางพระศพลงที่พื้น หันไปมองพระแสงดาบของกษัตริย์จูมง แล้วคว้าดาบกระโจนหา โซคีฮา ตะโกนก้อง และฟาดฟันดาบเข้าใส่ โซคีฮา ลุกขึ้น เพียงแค่หลบไปหลีกมา แค่เพียงออกแรงสะบัดองครักษ์ ก็กระเด็นไปไกล โซคีฮา คุกเข่าข้างพระศพ กั๊กตัง ตะกายลุกขึ้นได้ตะคอกถามว่า : "มันเป็นใคร ใครให้เจ้าทำ เสนาบดียอนใช่ไหม พูดมา" แต่ โซคีฮา ไม่ใส่ใจ นั่งสะอึกสะอื้น กั๊กตัง ตะโกน : "ก็ได้ ก็ได้ ไม่ต้องตอบข้า ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน แล้วค่อยถามวิญญาณของเจ้า ไม่ต้องบอกข้า" แล้วกระโจนพุ่งดาบเข้าหา โซคีฮา โซคีฮา เงยหน้า หลับตารอรับความตาย โซคีฮา หมดความสนใจว่า อะไรจะเกิดขึ้น
แทจังโร เข้ามา สกัด กั๊กตังก็ไม่ลดละในที่สุด กั๊กตังก็ถูก ดาบพุ่งเสียบ กระเด็นกองพื้นหมดแรงลุก เลือดท่วม
แทจังโร บอก โซคีฮา : "ไปกันเถอะ เขาตายแล้ว แล้วเจ้าก็ทำงานสำเร็จ" โซคีฮา ส่ายหน้า : "ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้.." แทจังโร พูดขัด : "เจ้าทำงานที่ยากเย็นได้สำเร็จ" โซคีฮา งง แล้วก็รู้ความหมาย หันไปมององครักษ์ที่นอนจมกองเลือด มีดาบปักที่ไหล่ แล้วขยับตัวลุกขึ้น ถอยห่างพระศพ ตะโกนแบบคับแค้นใจ เสียใจ .กรีดร้อง "..ไม่... ไม่ใช้ข้า...ไม่ใช่ข้า"
แสงไฟที่จุดไว้ในสุสาน ลุกสว่างโพลงขึ้น แสงสว่างสาดส่องทั่วบริเวณสุสานหลวงนี้ รับเสียงกรีดร้องของโซคีฮา "ไม่.... ไม่ใช่ข้า... ไม่...ไม่ใช่ข้า"
แทจังโร เอามือวางบนไหล่ โซคีฮา โซค๊อา หมดสติ แล้วแทจังโร ก็อุ้ม โชคีฮา ออกมา กั๊กตัง ออกแรงดึงดาบออกจากตัว ที่ด้านนอก ทหาร ฮวาเซิน พากันวิ่งออกจากวังหลวง เหลือทิ้งไว้แต่ความมืดยามราตรีกาล ของคืนนี้ที่ปกคลุมทั่ววังหลวง
ซูจินีแอบเข้ามาในวังต้องตกใจกับบรรดาศพของทหารองครักษ์ แล้วก็พบกัมดง และ กั๊กตัง เมื่อถามถึงกษัตริย์ กั๊กตัง มีแต่เลือดและน้ำตา เป็นคำตอบ และ ร่ำร้องว่า "ข้าต้องไปเฝ้ารัชทายาท ข้าต้องส่งข้อความของฝ่าบาท" ซูจินีตอบว่า "รัชทายาทเสด็จไปปราสาทดัลจา" แล้ว ฮยอนโก ฮยอนยองก็เข้ามาเรียกหา ซูจินี ซูจินี "บอกว่าข้ามีเรื่องต้องทำ ข้าต้องไปปราสาทดัลจา" ฮยอนโก ห้ามว่า : "ไม่..ซูจินี คนของโคมิล จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบ้านเมืองของโคคุเรียว" ซูจินี บอกว่า : "ถ้าเช่นนั้นท่านก็อยู่ห่างจากที่นี่ ข้าต้องไป แล้วหันมาบอกองครักษ์ว่า "เรารีบไป" พอเดินผ่านหน้า ฮยอนโก ก็หยุด แล้วเดินผ่านหน้าไป ฮยอนโก มองตาม แล้วเปลี่ยนเป็นวิ่ง เรียก ซูจินี : " แล้วถ้าเจ้าถูกจับเล่า เจ้าหลบหนีจากเรือนจำ เจ้าจะถูกลงโทษ ข้าจะกลายเป็นหัวหน้าไร้ประโยชน์ (บาซอนเรียก ฮยอนโก แบบนี้) คุ้มครองเจ้าไม่ได้" ซูจินี (คนฉลาดของเรา) ตะโกนขัดว่า "ถ้าเช่นนั้น ...คุ้มครองข้าสิ" แล้วทำท่างอน กับ ฮยอนโก ฮยอนโก สั่งให้ ฮยอนยอง พาองครักษ์กัมดง กลับไปหมู่บ้านโคมิล แล้วถาม ฮยอนยอง ว่า "ได้ยิน ซูจินีพูดแล้วใช่ไหม ข้ากำลังจะไปคุ้มครองลูกศิษย์ของข้า ข้าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบ้านเมืองของโคคุเรียว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ คุ้มครองกัมดงด้วย" แล้ว องครักษ์ผู้ช่วยหญิง 2 คน ก็ขี่ม้านำหน้า ฮยอนโก บังคับรถม้า มี ซูจินี นั่งข้าง กั๊กตัง นอนซม ในรถม้า ฮยอน โก บ่ นว่า
"มีคำพูดว่า หากท่านต้องการเป็นกษัตริย์ ก็เอาดาบไปจี้ที่กษัตริย์ แต่ที่นี่มีสิ่งผิดปกติ ที่โฮแก แห่งตระกูลยอน กษัตริย์จูชิน ร่วมมือกับฮวาเซิน ปลงพระชนม์กษัตริย์ โคคุเรียว บางสิ่งผิดปกติแน่นอน" ( หมายความว่า การชิงบัลลังก์จากกษัตริย์องค์ก่อนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ผิดปกติ คือยอนโฮแก) ซูจินี หงุดหงิด ที่อาจารย์ อืดอาด บอกสะบัด ๆว่า "เร็วหน่อย เรากำลังคลานอยู่ อาจารย์ก็แสนดี ไป ไป" แล้ว กระตุก เชือกบังคับม้าแรงๆ
องค์ชายไปถึงหน้าปราสาท โดยมีทหาร ฮวาเซิน ที่ยอนโฮแก นำมา ขี่ม้าไล่หลัง องค์ชายตะโกนขึ้นไปบนกำแพงประตูปราสาทว่า : "ข้าคือรัชทายาท ทัมด๊ก เปิดประตูให้เราเข้าไป" โซวดูรู สำทับซ้ำ ว่า "ศัตรูกำลังเข้ามาใกล้เปิดประตู" แต่กลายเป็น ทหารข้างบน กรูกันเข้าประจำที่
ผู้บัญชาการปราสาทดัลจา โผล่หน้าขึ้นมา : "ท่านบอกว่าเป็นรัชทายาทหรือ"
องค์ชาย : "เปิดประตูให้พวกเราเข้าไปก่อน เจ้าค่อยสอบถามทีหลัง"
ผู้บัญชาการ : "วางอาวุธของท่านก่อน บอกพวกของท่านให้วางอาวุธก่อน"
องค์ชาย : "เจ้าได้ยินที่ข้าพูดไหม ข้าคือรัชทายาท"
โซวดูรู : "พวกเราเป็นทหารของโคคุเรียว เราโยนอาวุธของเราไม่ได้หรอก" แล้ว โชจูโด ก็โผล่ หน้ามาอีกคน ก่อกวน องค์ชาย ให้ ทรงกริ้ว
ข้าคือ "โชจูโด แห่งเครุ ทรงจำได้หรือไม่ มีคำสั่งส่งไปทั้ง สี่ทิศของอาณาจักรของเราโดยอารามเทวีพยากรณ์และผู้นำทั้งสี่ (ยกเว้นแคว้นจุนโนของฮีกแก) คนที่พบพระองค์จะต้องจับพระองค์และริบอาวุธให้หมด ท่านผู้บัญชาการปราสาทก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ทรงเข้าพระทัยหรือไม่พะย่ะค่ะ"
องค์ชายเหลียวพระพักตร์ทอดพระเนตรกลุ่มเงาของพวกที่ไล่ตามพระองค์มา ทรงสั่งให้ทุกคนลงจากหลังม้า เพื่อใช้ม้าเป็นเกราะกำบัง ส่วนพระองค์เอง ทรงม้าเข้าไปใกล้ประตูปราสาท ยกคันธนูขึ้นตรัสว่า : "ฝ่าบาททรงมอบคันธนูนี้ให้ข้าเมื่อ อายุ 13 ปี" ทรงยิงลูกธนูขึ้นไป ทั้ง 2 คนข้างบนหลบและร้องลั่น ทรงขว้างคันธนูทิ้ง ชักพระแสงดาบออกมา พุ่งขึ้นไปปักบนป้ายชื่อปราสาท กาง 2 พระหัตถ์ ออก : "เจ้ายังกลัวข้าหรือ ผู้บัญชาการดัลจา เปิดประตู"
โชจูโด บอกว่า "องค์ชาย อย่าทรงมีเล่ห์เหลี่ยมมีกองกำลังซุ่มอยู่อีกข้างหลังแนวไม้" และหลอกลวงผู้บัญชาการปราสาท เพื่อจะยึดปราสาทนี้ หันไปส่งสัญญาณผู้บัญชาการปราสาท แล้วก็มีลูกธนู ติดไฟ มากมายพุ่งลงมา เป็นแนว ที่แนวต้นไม้ ทำให้เห็น กองทหาร ฮวาเซิน ชัดขึ้น ผู้บัญชาการปราสาทคล้อยตามคำยุยงของ โชจูโด สั่งทหารให้เตรียมพร้อม มีเสียงเป่าเขาสัตว์ทันที
ยอนโฮแก ที่อยู่หลังแนวไม้ ขี่ม้าออกมา จากที่เดิม ปลดผ้าคลุมหน้าออกพูดกับทหารติดตาม (คงเป็น อิลซู)ว่า : "พ่อของข้าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก เงื้อมมือของท่านแผ่มาถึงปราสาทดัลจา ระหว่างคนที่ฉลาดนั้นเหมาะสมจะเป็นกษัตริย์มากกว่าคนที่กล้าหาญไม่ใช่หรือ"
อิลซู ตอบว่า "ผู้บัญชาการปราสาทดัลจาคงไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไป เราจะรอจนพวกนั้นหันกลับมาหรือ
แต่ยอนโฮแก ไม่รอ เราเริ่มต้นเดี๋ยวนี้" แล้วลูกธนูมากมายก็ยิงมาที่องค์ชายและเผ่าจุนโน องค์ชายทรงพระราชดำเนินเข้าหาที่มาของธนู แล้วองค์ชายก็ถูกลูกธนูของยอนโฮแก ยอนโฮแก ให้สัญญาณหยุดยิงธนู
ที่ปราสาทดัลจา องค์ชายพระราชดำเนินตรงไปที่ ยอนโฮแก ยอนโฮแก ชักดาบออกจากฝัก กระตุ้นม้าเข้ามาหาองค์ชาย เอาทวนปักลงที่พื้นข้างตัว องค์ชาย ใช้พระหัตถ์ กุมแผลที่ถูกลูกธนูปักอยู่ ทรงบอกว่า "หยุดเรื่องนี้เถอะ" ยอนโฮแก ถามว่า "หยุดอะไร" องค์ชาย ตอบว่า "ฆ่าข้าแล้วไปเสีย" ยอนโฮแกบอกว่า "มันสายไปเสียแล้ว" โซวดูรู : "รัชทายาททรงทำอะไร ทำไมต้องตรัสกับเจ้าสุนัขนั่นด้วย" โซวดูรูท่าทางโมโหจัด สะบัดจะให้หลุดจากที่ถูก ดัลโก และเจ้าคนตัวเล็ก จับแขนยึดไว้ ยอนโฮแก พูดต่อว่า : "พวกนั้นเห็นหน้าหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันไม่คิดว่าพวกนั้นจะร่วมมือกับหม่อมฉัน หม่อมฉันต้องปิดปากพวกเขาตลอดไป"
องค์ชาย ทรงเรียก : "โฮแก"
ยอนโฮแก ตวาด : "ตรัสมา" และตะโกนใส่พระพักตร์ : "ข้ากำลังฟังฆาตกรฆ่าแม่ของข้า องค์ชายทัมด๊ก"
องค์ชาย : "แก้แค้นให้แม่ของเจ้า ถ้าเจ้าเป็นนักรบโคคุเรียวจริง ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ทำด้วยตัวเอง"
ยอนโฮแก สวนกลับ : "อะไร"
องค์ชาย : "เจ้าไม่รู้ว่าจะสู้ด้วยตัวเองอย่างไรหรือ" โซวดูรู เรียก : "รัชทายาท" องค์ชายบอกว่า : "ไม่ต้องยุ่ง พวกเจ้าบอกว่าพวกเจ้าจะมอบชีวิตให้กับข้า" ยอนโฮแก แค่นหัวเราะ องค์ชายหักด้ามลูกธนูทิ้ง ยอนโฮแก ที่ทำท่าจะหัวเราะอีกหยุดหัวเราะ ก้มลงคว้าทวนยาวที่ปักพื้นข้างตัว ทหารของยอนโฮแก ขยับม้าเข้ามาใกล้ ยอนโฮแก หันไปบอก : "นี่คือสงครามของข้า ใครอย่าได้ยุ่งเกี่ยว" แล้วยอนโฮแก ก็ตะโกนและกระตุ้นม้าเข้าหาองค์ชาย ( คล้าย ๆ สมเด็จพระนเรศวร ของเรา ร้อง เชื้อเชิญ พระมหาอุปราชของพม่า ทำยุทธหัตถี เลย) โซวดูรู เรียก รัชทายาท แล้วก็โยน ทวนให้องค์ชาย องค์ชายรับทวนมา แล้วถูกยอนโฮแกตีล้มลง ยอนโฮแก จะเข้าซ้ำ แต่กลายเป็นองค์ชาย ตีม้าล้มลง ยอนโฮแก ล้มลงลุกขึ้นมา แล้วยอนโฮแก กับองค์ชายก็ต่อสู้ กันดุเดือด ตัวต่อตัว ด้วยเพลงทวน ที่ยอนโฮแกสัดทัดจัดเจน แต่องค์ชายก็ไม่ด้อย ผลัดกันรุกผลัดกันรับ รถม้าเข้ามาใกล้จนเห็นการต่อสู้ ฮยอนโก และซูจินี ลงมา เขม้นมอง ว่าเป็นใคร แล้ว ซูจินี ก็ อ้าปากจะร้อง ฮยอนโก ต้องเอามือตัวเองมาปิดปาก ซูจินี องครักษ์กั๊กตัง ลุกขึ้น มาดึงสายบังเหียน รถม้า ก็วิ่งเข้าสู่ที่มีการต่อสู้ ซูจินี ว่องไวตามเคยกระโดดขึ้นท้ายรถม้าทัน ฮยอนโก วิ่งตาม แล้วก็หยุดถามตัวเองว่า "ข้าต้องตามพวกเขาหรือ"
รถม้าวิ่งเข้ามาถึงตรงที่ต่อสู้ มีเสียงตะโกน หยุด แล้ว ซูจินี ที่กลิ้งตัวลงมาจากรถม้า ก็เอาลูกธนู จี้คอ ยอนโฮ แก ทหารของฮวาเซิน ขยับม้าเข้ามาทันที ซูจินี บอกว่า "บอกพวกเขาให้หยุด นี่มันลูกธนูอาบยาพิษ ท่านรู้ไหมถ้าข้ากลัวมือของข้าก็จะสั่น" (เข้าใจหลอกและขู่ยอนโฮแก) องครักษ์หญิงกั๊กตังลงมา องค์ชาย ทรงแปลกพระทัย ที่เห็นองครักษ์ กั๊กตัง เนื้อตัวบาดเจ็บเปื้อนเลือดขนาดนั้น
กั๊กตังทูลว่า หัวหน้าองครักษ์กองทหารที่ 3 ขอส่งสาสน์สุดท้ายของฝ่าบาท แล้วยกพระแสงดาบของกษัตริย์จูมงถวาย ทูลต่อว่า "นี่คือดาบศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์จูมง ฝ่าบาททรงขอให้หม่อมฉันนำมาถวายกับพระองค์และทรงบอกให้หม่อมฉัน ส่งกระแสพระราชดำรัสสุดท้ายมายังพระองค์"
องค์ชายร้อนพระทัยเข้ามาจับไหล่ กั๊กตังอย่างแรง พระดำรัสสุดท้ายอะไร
กั๊กตัง: "ฝ่าบาทตรัสกับหม่อมฉันขณะกำลังจะสิ้นพระชนม์" องค์ชายตกพระทัย กั๊กตัง ทวนความ "ทรงต้องการให้หม่อมฉันนำกระแสพระราชดำรัสสุดท้ายมายังพระองค์ ขอให้พระองค์เป็นกษัตริย์จูชิน และอาณาจักรนี้" องค์ชาย แทบขาดพระทัย : "ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ใคร เสด็จพ่อของข้าหรือ"
กั๊กตัง : "ทรงถูกไล่ล่าโดยศัตรู และทรงซ่อนพระองค์ในสุสานหลวง ทรงอยู่ที่นั่นพร้อมกับนักพรตหญิง แต่นักพรตหญิงนั่น ปลงพระชนม์ฝ่าบาท"
องค์ชาย : "นักพรตหญิง".
กั๊กตัง : "ทรงเชื่อนาง แต่นางกลับปลงพระชนม์ฝ่าบาท นางชื่อ คีฮา.. "
องค์ชาย ตกพระทัยและ ยอนโฮแก ก็ตกใจไม่แพ้กัน องค์ชาย : "โกหก"
กั๊กตัง : "หม่อมฉันเห็นด้วยตาของหม่อมฉันเองว่า นางแทงฝ่าบาท" (นี่คือตัวอย่างของความเป็นจริงว่า สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน อาจไม่ใช่เรื่องที่ได้ยิน สรุป คือ อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน ต้องดู และฟังองค์ประกอบให้ละเอียดถี่ถ้วน ภาพที่กั๊กตังเห็น โซคีฮา ช่วยดึงดาบออก ไม่ใช่แทง แต่เพราะตกใจจึงไม่ได้วิเคราะห์ว่าภาพที่เห็นคืออะไรแน่)
องค์ชาย พระทัยร้ายมากที่ผลัก กั๊กตังล้มลง แล้วยังใช้พระแสงดาบจี้คอกั๊กตัง : "ใคร ใครบอกให้เจ้าโกหกเช่นนี้" กั๊กตังอุตส่าห์เก็บลมหายใจสุดท้ายของตัวเอง จนมาถึงได้พบองค์ชาย เมื่อเงยหน้าจากท่าที่ล้มลงได้ทูลองค์ชายว่า : "หม่อมฉันนำสาสน์มาส่งพระองค์ขอให้ทรงเป็นกษัตริย์แห่งจูชิน ทรงได้ยินไหมเพคะ เมื่อทรงได้ยิน หม่อมฉันก็ได้ทำงานสำเร็จแล้ว" แล้วก็ล้มลงสิ้นใจ องค์ชายทิ้งดาบทรุดองค์ลงทรงพลิกกั๊กตัง ตรัสว่า "ดูนี่ ดูข้าสิ" แต่กั๊กตัง ไม่สามารถ ทำตาม คำร้องขอนี้ได้เสียแล้ว
ซูจินี ก็ตกใจซ้ำสองลดมือที่ใช้ลูกธนูบังคับ ยอนโฮแก ลง ยอนโฮแก ค่อย ๆ ก้าวถอย ออกมา พอพ้นรัศมี ฉับพลันทันใด ลูกธนู ก็แหวกอากาศ มาที่กลุ่มขององค์ชายราวห่าฝน สัญชาติญาณ ของซูจินี ( ถูกปลุกเป็นครั้งที่ 3 แล้วมั้ง ไม่แน่ใจ) และความปราดเปรียวประจำตัว โผเข้าไปชนองค์ชายล้มลง เอาร่างตัวเอง คร่อมบังธนูให้องค์ชาย แล้ว จุนโน คนอื่นๆ ทุกคน เอาตัวล้มลง บังธนูให้องค์ชาย ซ้อนทับ ซูจินี โซวดูรู ลุกขึ้นมา ทั้งที่ถูกธนูมีลูกธนูเสียบอยู่ โซวดูรู เอาตัวเองรับลูกธนู ที่พุ่งเข้ามา แล้วก็ค่อยๆ ล้มลงสิ้นใจ ฮยอนโก ตกใจ ส่วนม้าของฮวาเซิน ก็ค่อยๆ ขยับล้อมเข้ามาใกล้ และแล้ว ไม้เท้าฮวันมู สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เต่าดำ เริ่มสั่น และก็เริ่มมีประกายสว่างจ้า ในขณะเดียวกัน ที่กลางลานที่องค์ชายและจุนโนล้มทับกันก็เกิดแสงสว่างเจิดจ้า บาดตาบาดใจผู้พบเห็น ล้อมรอบบริเวณ ที่องค์ชายล้มลง สายตาทุกคนในที่นั้น ไม่อาจมองแสงสว่างเจิดจ้านี้ได้ ทุกคนต้องหลับตา ยกมือปิดตา และเหมือนอยู่ในท่าทางค้างอยู่แบบนั้น มีแต่ ฮยอนโก ตกตลึง และก็มีแต่ ฮยอนโก เท่านั้น ที่สู้แสงนี้ได้ ฮยอนโก ในมือถือไม้เท้า ที่ส่องแสงเหมือนที่กลางลานนั้น ค่อยๆ เดินเข้าสู่ลานที่สว่างจ้าดังกล่าว ฮยอนโก แว่วเสียงของหัวหน้าคนก่อน : "เมื่อกษัตริย์จูชินทรงรู้สึกพิโรธอย่างรุนแรง สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เต่าดำ ก็จะฟื้นคืนมา เวลาจะหยุด จะมีเพียงหนึ่งในที่นั้นที่ฟื้นขึ้นมาในเวลานั้น ผู้ชายคนนั้นก็คือกษัตริย์จูชิน"
ทุกคนที่ล้ม บ้างตาย บ้างหมดสติ มีแต่ องค์ชายประทับนั่งอยู่พระองค์เดียวในท่ามกลางคนพวกนั้น องค์ชายเหลียวไปรอบ ๆ พระองค์ แล้วประทับยืนขึ้น ฮยอนโก เดินมาถึงหน้าพระพักตร์ ทูลว่า "หม่อมฉันเป็นหัวหน้า คนที่ 72 ของเผ่าโคมิล ชื่อ ฮยอนโก เต่าดำ ฟินิกซ์ มังกรน้ำเงิน และเสือขาว ในบรรดาผู้พิทักษ์ทั้งสี่ หน้าที่ของเต่าดำ จะเป็นผู้พบกับกษัตริย์จูชินก่อนใครอื่น พวกเราได้เก็บสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเวลา กว่า 2 พันปี ตอนนี้เราได้พบกษัตริย์จูชินแล้ว เราชาวโคมิลของเต่าดำ ขอคาราวะต่อพระองค์พะย่ะค่ะ
แล้ว ฮยอนโก ก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงคุกเข่าคำนับกษัตริย์ จูชิน"
ส่วนขุนพลโก ที่ขี่ม้าในแนวป่านั้น นายทหารรองข้างๆ ตัว รายงานว่า "ถ้าเราขี่ม้าขึ้นไป เราจะไปถึงหุบเขาฮาตา ถ้าเราลงไปก็จะพบปราสาทดัลจา" ขุนพลโก ตัดสินใจไปปราสาทดัลจา เพราะคนถือสารที่จับได้ระหว่างทางกำลังจะไปปราสาทดัลจา แล้วในรุ่งเช้า กองทหารของ ขุนพลโก ก็สวนทางกับ กองทหารฮวาเซิน ที่มี ยอนโฮแก นำหน้า บริเวณที่ราบเชิงเขาแต่ต่างฝ่ายไม่สนใจกัน เมื่อขุนพลโก ไปถึงหน้าปราสาทดัลจา ก็พบศพคนของแคว้นจุนโน และองครักษ์หญิง นอนเรียงรายเป็นระเบียบ โดยเฉพาะศพของ กั๊กตัง มีฉลองพระองค์ขององค์ชาย คลุมให้ คนของแคว้นจุนโน เหลือพียง ดัลโก ลูกชายคนที่สอง ของฮีกแก นั่งร้องไห้ ผู้บัญชาการปราสาทดัลจา เข้ามารายงาน ว่า เพราะ โชจูโด บอกไม่ให้เปิดประตูรับรัชทายาท ขุนพลโกไม่สนใจซักถามเรื่องราว ใจมุ่งแต่เป็นห่วงองค์ชายถามว่า "รัชทายาท ทรงอยู่ไหน" ดัลโก ตอบว่า "ทรงไปแล้ว เมื่อข้าฟื้นขึ้นมา ก็ทรงหายไปไร้ร่องรอย ไม่มีใครเห็นพระองค์ ทรงจัดศพ ไว้แบบนี้" ผู้บัญชาการปราสาททรุดลงที่พื้น บอกว่า "ทรงเขียน อักษร ไว้ที่พื้น" (เหนือศพที่วางเรียงไว้) เป็นอักษรโบราณ เมื่ออ่านได้ใจความว่า "บุคคลผู้จงรักภักดีต่อจูชินได้สละชีพเพื่อช่วยชีวิตกษัตริย์ของพวกเขา"
ที่สุสานหลวง เสนาบดียอน ยืนหยุดมองพระศพกษัตริย์ที่อยู่บนพื้นสุสาน เลือดท่วมพระวรกาย สายตามิได้ดีใจที่ทรงสิ้นพระชนม์เลย
ส่วนเสนาบดียอน ที่ นั่งฟัง โชจูโด พูด ไม่จบ เรื่องแม้ แทจังโร จะออกจากห้องนั้นไปแล้ว โชจูโด รู้สึกสงสัย ไม่ใช่ โฮแก หรอกหรือที่เป็นกษัตริย์จูชิน แล้วทำไมถึงได้มีแสงส่องสว่าง และยังคำจารึกพวกนั้นอีก "ทำไมถึงได้บอกว่า ทัมด๊ก คือกษัตริย์จูชิน" เสนาบดี ยอน เริ่ม ไม่พอใจ และขู่ โชจูโด ว่า "ถ้าข้าได้ยินข่าวลือประหลาดในปราสาทโกกแน ท่านเป็นคนแรกที่ต้องรับผิดชอบ" โชจูโด บอกว่า "ข้าจะไปควบคุมคนอื่นได้อย่างไร พวกเขาเห็นแสงสว่าง พวกเขาเห็น" เสนาบดียอนตอบว่า "นั่นแหละข้าถึงบอกว่าท่านต้องรับผิดชอบ ท่านต้องจัดการกับคนที่ปราสาทดัลจา ผู้บัญชาการปราสาทดัลจาอาจจะต้องการรู้สิ่งที่เขาได้เห็นในคืนนั้น" แล้วออกจากห้องไป โชจูโด ตะลึง บ่น อะไร นั่น แต่มันยังมีคำจารึกอีกด้วย
ในอารามหลวง นักพรตหญิงทำพิธีสวดมนต์ ส่วนในตลาด ก็มีทหาร ประกาศด้วยขบวนงานศพชุดขาว ว่า กษัตริย์สิ้นพระชนม์ ประชาชนพากันเศร้าโศก ฮยอนยอง ได้ยินได้ฟังข่าวลือ ต่างๆ ที่พูดกันต่อๆ ว่า "รัชทายาททรงเสียพระสติ ลักพาตัวและฆ่าลูกชายผู้นำแคว้น และยังฆ่ากษัตริย์ พ่อของตัวเอง เพราะอยากเป็นกษัตริย์เสียเอง สภาต้องการให้ ยอนโฮแก ขึ้นครองราชย์"
ฮยอนโก พา องค์ชาย กลับมายัง หมู่บ้านโคมิล พร้อมซูจินี มีการเรียกชุมนุมศิษย์
เมื่อไปถึง ฮยอนโก ลงจากรถม้า เข้าไปยืนกลางลานของหมูบ้าน หันหน้ามาทูลองค์ชายที่ยังประทับในรถม้าว่า "สองพันปีมาแล้ว ท่านฮวานอุงได้เสด็จกลับสู่สวรรค์ พวกเราได้ดูแลรักษาสัญลักษณ์เต่าดำ และรอคอยที่จะคืนให้กับกษัตริย์"
ซูจินี ทูลให้องค์ชายเสด็จลงไปที่ลาน เมื่อพระราชดำเนินถึงลาน ฮยอนโก ทูลต่อว่า "ลูกศิษย์ของโคมิล ขอคำนับกษัตริย์จูชิน" องค์ชาย ทรงถอดพระมาลาไม้ไผ่สานออก ศิษย์โคมิล ทุกคน คุกเข่าลง ถวายคำนับ องค์ชาย แย้มพระโอษฐ์ ให้กับศิษย์โคมิล บรรดาศิษย์ ก็เงยหน้ามององค์ชายอยู่เหมือนกัน
Copyright @ Amornbyj & SUE
No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.