20.9.10

My Journey’s Diary : Trip to Korea Episode 5 – Hwaseong Fortress : Dream of the King



มาเดินทางกันต่อค่ะ...

เราจะเดินทางสู่ป้อมฮวาซองกันค่ะ ป้อมฮวาซองได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ป้อมปราการแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์โชซอน ในรัชสมัยของพระเจ้าจองโจ กษัตริย์องค์ที่ 22 ป้อมแห่งนี้เป็นดุจดั่ง “ความฝันของกษัตริย์” ดังที่ดิฉันได้ขึ้นหัวเรื่องไว้ เพราะพระเจ้าจองโจได้ทรงสร้างป้อมแห่งนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับพระบิดา องค์รัชทายาทซาโด ซึ่งทรงสิ้นพระชนม์เนื่องจากถูกพระเจ้ายองโจ (พระบิดาขององค์รัชทายาทซาโดเอง) สั่งขังไว้ในลังข้าวแล้วให้อดข้าวอดน้ำจนตายไปเอง เนื่องจากเข้าพระทัยผิด (ตามคำยุยงของคนอื่น) ว่าองค์รัชทายาทจะก่อการกบฏ ต่อมาพระเจ้าจองโจได้ล้างมลทินให้กับพระบิดาในข้อหากบฏและสร้างป้อมแห่งนี้ขึ้นเพื่อฝังพระศพของพระบิดา นี่คือหนึ่งความฝันของพระเจ้าจองโจนับตั้งแต่เยาว์วัย คือการล้างมลทินให้กับพระบิดา

ส่วนอีกความฝันของพระองค์ก็คือการย้ายเมืองหลวงจากโซลไปยังซูวอน ซึ่งพระองค์ทรงเล็งเห็นว่าซูวอนสามารถพัฒนาให้เติบโตเป็นเมืองหลวงแทนกรุงโซลได้ แต่พระองค์ไม่อาจบรรลุความฝันนี้ได้เนื่องจากทรงสิ้นพระชนม์ซะก่อน หากใครได้ดูซีรี่ย์เกาหลีเรื่อง “ลีซาน” อาจจะรู้สึกคุ้นๆ กับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ช่วงนี้ เพราะองค์ชายลีซานก็คือพระเจ้าจองโจ ผู้สร้างป้อมฮวาซองแห่งนี้นั่นเอง

ป้อมฮวาซองมีความยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ เมื่อมองออกไปเราจะเห็นแนวกำแพงไกลสุดสายตา ในวันที่เราไปอากาศร้อนมากๆๆ จากความตั้งใจที่จะเดินดูให้รอบๆ ต้องเปลี่ยนเป็นเดินแค่นี้ก็พอแล้ว (555) ในวันที่เราไปมีการแข่งขันธนูกันด้วย แต่คนที่มาแข่งไม่ใช่ชายหนุ่มหุ่นนักรบแต่อย่างใด แต่เป็นอาจุมม่าทั้งหลายเหล่านี้ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ค่ะ...และเป้าที่ตั้งไว้ก็ไกลมากๆ จนหลายคนหันมาถามว่า เค้ายิงกันถึงจริงๆ หรือนี่? แต่เค้ายิงกันถึงจริงๆ ค่ะ เสียงลูกธนูกระทบเป้าดังชัดเจนเลยทีเดียว

Ajumma & the archery competition…


ศาลาบนป้อมฮวาซองสวยงามด้วยศิลปะแบบเกาหลี ลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ล่ะค่ะ...

Beautiful art & color in korean style at Hwaseong Fortress…




อันนี้ขอบอกว่ามันคือประตูห้องน้ำค่ะ...แม้แต่ห้องน้ำยังมีดีไซน์แปลกตาไม่เหมือนใคร

This is the restroom’s door. So unique!




และสวนสวยนี่อยู่ในห้องน้ำค่ะ...

And this beautiful garden is also in restroom, can you believe that?



จากตรงนี้เราจะเดินทางเข้าสู่กรุงโซลกันแล้วค่ะ พอเริ่มเข้าเขตกรุงโซล เราจะเห็นรถรามากมาย (ส่วนใหญ่เป็นยี่ห้อฮุนได ไม่ก็เล็กซัสค่ะ) รถติดไม่แพ้กรุงเทพเมืองฟ้าอมรของเราเลย แต่เนื่องจากรถของเราเป็นรถมินิบัส จึงสามารถใช้บัสเลนได้ค่ะ แนวเส้นสีฟ้าที่เห็นนั่นคือบัสเลนค่ะ และคนของเขาก็เคารพกฎ รถอื่นจะไม่เข้ามาวิ่งในบัสเลนค่ะ (ไม่เหมือนบ้านเรา รถบัสออกไปวิ่งนอกเลน ส่วนรถธรรมดาก็เข้าไปวิ่งในบัสเลนแทน)

On the way to Seoul….so many traffic….



พูดถึงเรื่องรถราแล้ว มีอีกหนึ่งสิ่งดีๆ ที่อยากเก็บมาเล่าสู่กันฟัง ก็คือรถที่เกาหลีนี่เค้าจะต้องติดเครื่องเนวิเกเตอร์กันทุกคัน เจ้าเครื่องที่ว่านี้มันจะคอยบอกทางให้คนขับ ว่าจะไปทางไหน เข้าถนนไหน เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา และที่เจ๋งสุดๆ ก็คือเมื่อถึงเขตจำกัดความเร็ว มันจะร้องเตือนอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นบริเวณนี้จำกัดความเร็วที่ 40 ก.ม./ช.ม. มันก็ร้องเตือนตลอดว่าจำกัดความเร็วที่ 40 ก.ม. ดังอยู่แบบนี้จนกว่าจะพ้นเขตจำกัดความเร็วนั้นค่ะ ดิฉันว่ารัฐบาลไทยน่าจะพิจารณาให้มีการออกกฎหมายบังคับให้รถรับจ้างติดตั้งเจ้าเครื่องที่ว่านี้กันทุกคัน เพราะมันดีต่อทุกฝ่าย ทั้งคนขับ ผู้โดยสาร และเจ้าของรถ ลองนึกดูนะคะว่าเมื่อคุณขึ้นรถปุ๊บ พอบอกจุดหมายปลายทาง คนขับก็กดเจ้าเครื่องที่ว่านี้ มันก็จะบอกคุณเลยว่าจะเดินทางโดยใช้เส้นทางไหนดี คนขับบางคนที่ไม่คุ้นเส้นทางก็จะได้ไม่ต้องคอยถามผู้โดยสารที่บางทีก็ไม่รู้เหมือนกัน (ไม่งั้นจะเรียกแท็กซี่หรือยะ) พากันไปหลงเปล่าๆ แถมช่วยป้องกันผู้โดยสารจากพวกแท็กซี่โจรที่อาจพาคุณออกนอกเส้นทางโดยไม่รู้ตัว และเจ้าของรถเองยังสามารถติดตามรถของตัวเองได้ว่าอยู่ที่ไหน (เพราะมันใช้ระบบ GPS) ไม่ต้องมาเที่ยวประกาศตามสถานีวิทยุว่าใครเห็นรถของผมบ้าง ถึงจะลงทุนมากหน่อยในตอนแรก แต่ดิฉันว่ามันคุ้มค่านะคะ เมื่อเทียบกับความปลอดภัยของคนและทรัพย์สิน

เมื่อเข้าสู่กรุงโซล เราก็จะมองเห็นแม่น้ำฮันกันแล้วค่ะ แม่น้ำสายหลักที่เป็นเหมือนเส้นเลือดของคนเกาหลีเช่นเดียวกับแม่น้ำเจ้าพระยาของเรา

When we arrived Seoul, we can see Han River…



ช่วงที่เราไปเป็นช่วงของการรำลึกถึงสงครามเกาหลีครบรอบ 60 ปีค่ะ ที่เห็นธงไทยปลิวไสวอยู่นั่นเพราะเราเป็นพันธมิตรช่วยส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลีด้วย และมีทหารไทยมากมายที่ต้องไปทิ้งชีวิตไว้บนแผ่นดินเกาหลีในสงครามครั้งนั้น

60th Anniversary of Korean War…Thai Soldiers also joined that war as the alliance.



พอเข้าสู่กรุงโซลก็ถึงเวลาช้อปปิ้งกันแล้วค่ะ ส่วนใหญ่เวลาใครมาเกาหลีก็มักจะมีรายการฝากซื้อของจากเพื่อนๆ กันมายาวเป็นหางว่าวโดยเฉพาะพวกเครื่องสำอาง เพราะที่นี่เค้าถูกจริงๆ ค่ะ ถูกกว่าที่เมืองไทยครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว ร้านแรกที่เราไปแวะก็คือ ร้านที่ขาย ROJU KISS ค่ะ คนขายพูดไทยเจื้อยแจ้ว ในร้านก็ติดป้ายประกาศและราคาเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจน จนนึกว่ากำลังเดินอยู่ในเมืองไทยเลยทีเดียวเชียว ต่อจากนั้นเราก็ไปที่ศูนย์โสมของรัฐบาล มีการบรรยายให้ความรู้เรื่องโสม และปฏิบัติการขายโสม แน่นอนค่ะทุกคนพูดไทยกันอย่างชัดเจน เพราะเป็นคนไทยที่มาเรียนที่นี่แล้วก็ทำงานอยู่ที่นี่เลยค่ะ เราไปเป็นกรุ๊ปสุดท้ายของวันนี้ แทบจะเหมาร้านกันเลยทีเดียว ดิฉันเห็นหิ้วถุงออกมากันคนละถุงสองถุง ประเทศเกาหลีคงอยากจะบอกว่า “ฉันรักคนไทยจังเลย” (ที่นี่เค้าห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีภาพมาฝากนะคะ)

ช้อปกันจนเหนื่อยแล้ว ก็ถึงเวลามื้อค่ำพอดี มื้อนี้เราไปกิน “ฮันจองชิก” หรืออาหารชุดแบบเกาหลีกันค่ะ มีอาหารมาเสริฟเป็นชุดเต็มโต๊ะ มีทั้งปลาทั้งหมูทั้งผัก แล้วก็หม้อไฟซีฟู้ดร้อนๆ นี่ค่ะ

Our dinner…Han Jeong Shik…




มื้อนี้เราไปกินแถวอินซาดง ซึ่งเป็นย่านศิลปะและวัฒนธรรมของกรุงโซล ร้านเลยดูขลังๆ เล็กน้อยค่ะ หลังจากกินอิ่มเลยได้เดินชมย่านอินซาดงกันนิดหน่อยเป็นการย่อยอาหารค่ะ

At Insadong…




แต่ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เราก็จะเจอเค้าคนนี้ค่ะ คุณป๋าเบยงจุน คุณพี่แกอยู่ทุกตลาดจริงๆ ค่ะ ขอบอก...(และป้ายอันนี้ตั้งล่อตาล่อใจมากๆ น่าหิ้วกลับบ้านซะจริงๆ)

And he’s everywhere we go…(hahaha)…you can’t escape from him, I can tell you. BYJ will be with you, always ^^




ส่วนร้านนี้ท่าทางจะโด่งดังเอาการ เพราะมีคนยืนมุงดูกันอยู่เต็มไปหมด เค้าขายขนมหน้าตาคล้ายๆ หนวดมังกร มีไส้ข้างในให้เลือกหลายไส้ด้วยค่ะ จุดเด่นก็คือ 3 หนุ่ม 3 มุมนี่แหละค่ะ ขณะที่ทำขนมโชว์ไปก็พูด (หรือร้องอะไรสักอย่าง คล้ายๆ จะเป็นแร๊พ แต่น้องยาเธอบอกว่า เค้าท่องอาขยาน) ไปด้วย และเค้าพูดได้พร้อมกันเป็นจังหวะดีจริงๆ ขอยกนิ้วให้เลยค่ะ

ใช่ว่าจะมีแต่ป๋าเบนะคะ น้องฮงกีก็มากับเค้าด้วย...

Lee Hong Ki will be with you, too ^^



ต่อจากนั้นเราก็ไปเดินย่านทงแดมุนกันค่ะ สาวๆ ได้ช้อปกันอีกยกที่ร้าน SKIN FOOD ค่ะ ที่นี่พนักงานหยิบของแถมใส่ถุงแบบไม่เกรงใจใครเลยจริงๆ ขยุ้มเอาๆ เลยทีเดียว...ตรงหน้าห้าง Migliore จะมีเวทีแบบนี้ไว้ให้ศิลปินสมัครเล่นมาโชว์ความสามารถกันนะคะ เผื่อใครโชคดีวันข้างหน้าอาจได้เป็นศิลปินดังก็ได้ใครจะรู้ อย่างเรน (นักร้องดังของเกาหลี) ก็เกิดจากสถานที่แบบนี้ล่ะค่ะ ดิฉันว่าเป็นเรื่องดีที่มีสถานที่ไว้ให้วัยรุ่นได้ออกมาแสดงความสามารถ ได้มาทำสิ่งที่เค้ารัก ดีกว่าให้ไปมั่วสุมกินเหล้าเมายากัน และผู้ชมที่นี่ก็น่ารัก มีอารมณ์ร่วมดีจริงๆ ปรบมือโบกมือถ่ายรูป ราวกับไปดูคอนเสิร์ตศิลปินดังๆ เลยทีเดียว

In front of “Migliore” at Dongdaemun. This stage is for the amateur artiste. May be one day, they’ll become a Hallyu Star, who knows???



สำหรับคืนนี้เราจะนอนกันที่ Hotel La Mir ซึ่งอยู่ในย่านคังนัม...และในวันพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวพระราชวังเคียงบ๊กกันค่ะ ติดตามในตอนต่อไปนะคะ...

Next day, we’ll go to Gyeongbokgung…

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.