9.10.10

[INTERVIEW] Actor Yoon Si-yoon - Part 1




[Thai Translation by Ladymoon]


He debuted last year through MBC's smash hit sitcom "High Kick 2," the sequel to director Kim Byung-wook's popular family series from 2006. He then landed the leading role in KBS TV series "Bread, Love and Dreams," which averaged viewership ratings of 36 percent and breached the 50 percent mark on its finale episode. With just two acting roles, Yoon Si-yoon went from a noname newcomer to a star. 10Asia sat down with the 24-year-old actor to talk about his past, present and future.

ยุนซียุนเดบิวต์เมื่อปีที่แล้วในซิตคอมเรื่อง “High Kick2” ภาคต่อของซีรี่ยส์แนวครอบครัว ปี 2006 ของผู้กำกับคิมบยองวุค แล้วเขาก็มารับบทนำในละครของ KBS เรื่อง “Bread, Love and Dreams” ซึ่งมีเรตติ้งผู้ชมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 36% และพุ่งสูงถึง 50% ในตอนอวสาน จากการแสดงละครเพียง 2 เรื่องเท่านั้น ทำให้ยุนซียุน จากนักแสดงหน้าใหม่ไร้ชื่อเสียงกลายเป็นดาราในชั่วพริบตา 10Asia จึงได้นั่งคุยกับดาราหนุ่มวัย 24 ปีเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเขา


10: I understand that you're doing interview after interview after "Love, Bread and Dreams" ended its run. This must be the first time you're experiencing such a thing.

Yoon: It is. This is already my fourth today. And I still have a similar number left (to do).

Q : เราเข้าใจว่าคุณคงต้องสัมภาษณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลังจาก “Love, Bread and Dreams” จบลง นี่คงเป็นครั้งแรกที่คุณมีประสบการณ์แบบนี้

A : ใช่ครับ นี่เป็นรายที่ 4 ของผมวันนี้ครับ และยังมีอีกหลายรายรออยู่


10: It must be difficult having to do interviews immediately after finishing up a 30-episode drama.

Yoon: It's not. I believe this is all just part of the process. It's where I can say 'thank you' as actor Yoon Si-yoon. And there's a lot I didn't get to say as my character Tak-goo either. I think this is very important.

Q : คงลำบากมากที่ต้องให้สัมภาษณ์ทันทีหลังจากเพิ่งเล่นละครขนาด 30 ตอนจบ

A : ไม่หรอกครับ ผมเชื่อว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน เป็นตอนที่ให้ผมได้พูดว่า “ขอบคุณ” ในฐานะนักแสดงที่ชื่อยุนซียุน และมีหลายอย่างที่ผมไม่ได้พูดขณะที่แสดงเป็นทักกู ผมคิดว่านี่สำคัญมากครับ


10: How has it been talking to reporters?

Yoon: I'm lucky in the sense that they have been nice and like me. Some might say to watch out for them (laugh) but when I respond with sincerity, they would write about it the way I told it to them. I've never been hurt by articles before. And in a way, I feel more responsibility because they have viewed me in a positive light ever since I became an actor.

Q : การได้พูดคุยกับนักข่าวเป็นยังไงบ้าง

A : ผมโชคดีที่พวกเขาดีกับผมและชอบผม บางคนอาจบอกว่าให้ระวังนักข่าวให้ดี (หัวเราะ) แต่เมื่อผมตอบด้วยความจริงใจ พวกเขาก็จะเขียนข่าวอย่างที่ผมพูดไป ผมไม่เคยถูกข่าวทำร้ายมาก่อน แต่ผมกลับยิ่งรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบมากขึ้น เพราะพวกเขามองผมในแง่บวกตั้งแต่ผมเริ่มเข้ามาเป็นนักแสดง


10: Like you say, you've been popular since "High Kick 2" which could be considered your actual debut work. But I think you must've feel pressured about having to play the lead of a drama, regardless of the response from people around you.

Yoon: I did feel pressure. But it's pressure over the acting I have to do more than anything else. So I think it was valuable pressure because it's something I have to learn to overcome as an actor. I can only become a better actor by overcoming that.

Q : คุณเริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่เรื่อง “High Kick 2” ซึ่งถือได้ว่าเป็นงานเดบิวต์ของคุณ แต่เราคิดว่าคุณคงรู้สึกกดดันที่ต้องเล่นบทนำ รวมไปถึงเสียงตอบรับจากผู้คนรอบข้างอีกด้วย

A : ผมรู้สึกกดดันจริงๆ ครับ แต่กดดันเพราะการแสดงมากกว่าเรื่องอื่น ผมคิดว่ามันเป็นการกดดันที่มีค่า เพราะเป็นอะไรที่ผมต้องเรียนรู้เพื่อที่จะฝ่าฟันไปให้ได้ในฐานะนักแสดง ผมจะได้เป็นนักแสดงที่เก่งขึ้นหากฝ่าฟันมันไปได้


10: You said that you felt like you had become your character Joon-hyuk when you were doing "High Kick 2" but you now sound just like Tak-goo.

Yoon: I do, right? Everybody's been saying that this time around. And I think it comes from my love for my roles. Like when you date someone, you become like that person. I know I lack in everyway including vocalization, pronunciation, acting skills, emotional expression and movement. I know it but I love the roles I play. Both Joon-hyuk and Tak-goo. That's why I become like them.

Q : คุณเคยพูดว่ารู้สึกเหมือนเป็นจุนฮยุคตอนที่เล่น “High Kick 2” แต่ตอนนี้คุณพูดเหมือนทักกูเลย

A : ใช่มั้ยครับ? ทุกคนก็พูดแบบนั้น และผมคิดว่ามันมาจากความรักของผมที่มีต่อบทนี้ อย่างเช่นเวลาที่คุณคบกับใครสักคน คุณก็จะชอบคนๆ นั้น ผมรู้ว่าตัวผมขาดในหลายๆ อย่าง เรื่องการใช้เสียง การออกเสียง ทักษะการแสดง การแสดงอารมณ์ความรู้สึก และการเคลื่อนไหว ผมรู้ดี แต่ผมรักบทที่ผมเล่น ทั้งจุนฮยุคและทักกู นั่นคือเหตุผลที่ผมกลายเป็นพวกเขา





10: But a lot of people get scared even when they're doing what they like. Do you think you're the type that isn't scared or is good at overcoming such fear?

Yoon: I ask for help boldly. Because I know I'll never make it by myself. I never repress my emotions. I think Tak-goo is like that too. We're similar in that sense. I was able to overcome pressure or fear while playing the role of Tak-goo because I with other people -- I don't have the psychological strength to overcome it alone. I'm the type that asks boldly and bravely, 'I can't do this without you.'

Q : แต่มีคนมากมายที่รู้สึกกลัวแม้แต่ตอนที่ทำในสิ่งที่พวกเขาชอบ คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนประเภทที่ไม่กลัวอะไร หรือว่าเก่งเรื่องการเอาชนะความกลัว

A : ผมจะขอความช่วยเหลือตรงๆ ไปเลยครับ เพราะผมรู้ตัวว่าไม่มีทางทำมันได้ด้วยตัวเอง ผมไม่เคยเก็บอารมณ์ ผมคิดว่าทักกูก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน เราเหมือนกันตรงนั้น ผมสามารถเอาชนะแรงกดดันหรือความกลัวขณะที่เล่นบททักกูได้ เพราะผมอยู่กับคนอื่น ผมไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งพอที่จะฝ่าฟันมันเพียงลำพังได้ ผมเป็นคนประเภทที่จะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือตรงๆ แบบกล้าหาญ “ผมทำสิ่งนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ”


10: Who is usually the most help?

Yoon: I guess my closest friends are my manager or stylist. The conversations we have while I'm looking at my script and while I'm eating help so much. And like they protect and support me, I feel that responsibility to do the same for them as well. I feel like I should become someone they can rely on when they're going through hard times as much as I rely on them.

Q : ใครที่ช่วยคุณได้มากที่สุด

A : ผมว่าเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดก็คือผู้จัดการหรือไม่ก็สไตลิสต์ เรื่องที่เราคุยกันระหว่างที่ผมอ่านบท ระหว่างที่ผมกินอาหาร นั่นช่วยได้เยอะเลยครับ พวกเขาคอยปกป้องและสนับสนุนผม ผมรู้สึกว่านั่นเป็นความรับผิดชอบ ที่ผมต้องทำกับพวกเขาแบบเดียวกัน ผมรู้สึกว่าผมควรเป็นคนที่พวกเขาพึ่งพาได้ในเวลาที่พวกเขาต้องเผชิญความยากลำบาก เช่นเดียวกับตอนที่ผมพึ่งพาพวกเขา


10: Becoming a star could be one of the ways to become that sort of person. (laugh)

Yoon: This is what I think. That if you are someone who holds his ground, you can be that someone who others rely on. They'll lean on you because you're standing firm. And it's people who are always there in the same place, people who you want to go back to, that are the ones you want to rely on, not the ones who speak elaborately. 25 years old could be considered both a young and old age but I'm going to try not to lose my ground. And if I manage to do that, I think that one day I'll be someone that my family, my friends and that someone that I will love someday, can rely on.

Q : การเป็นดาราอาจทำให้คุณกลายเป็นคนแบบนั้น

A : ผมก็คิดแบบนั้นครับ หากคุณเป็นคนที่มีจุดยืนมั่นคง คุณจะเป็นคนที่คนอื่นสามารถพึ่งพาได้ พวกเขาจะพึ่งพาคุณเพราะคุณมั่นคง และคนที่อยู่ตรงที่เดิมเสมอ เป็นคนที่คุณอยากกลับไปหา คนที่คุณอยากพึ่งพา ไม่ใช่คนที่พูดจากลับไปกลับมา อายุ 25 ถือได้ว่ายังเด็กแต่ก็ถือว่าอายุมากแล้ว แต่ผมจะต้องไม่สูญเสียจุดยืนของตัวเอง ถ้าผมทำแบบนั้นได้ ผมคิดว่าสักวันหนึ่งผมจะเป็นคนที่ครอบครัวของผม เพื่อนของผม และใครสักคนที่ผมจะรักในวันข้างหน้า สามารถพึงพาได้


10: That ultimately means you have to have your own set of beliefs or convictions. What are they?

Yoon: I believe in the power of positive thinking. And I believe that power can change others too. I think good things will happen if you try to look at good things and think good thoughts.

Q : นั่นแปลว่าคุณต้องมีความเชื่อส่วนตัว มันคืออะไร

A : ผมเชื่อในพลังของการคิดบวก ผมเชื่อว่าพลังนั้นสามารถเปลี่ยนคนอื่นได้ด้วย ผมคิดว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นหากคุณพยายามมองแต่สิ่งที่ดีๆ คิดแต่สิ่งที่ดีๆ


10: Was Tak-goo like that?

Yoon: He was like that, always. He'd be making bread in the bakery no matter how fickle Yoo-kyung acts and he returns to Palbong Bakery even after he achieves everything in the end. He achieved everything solely through the power of positive thinking, without having to fight or clash with someone. And it's not like he was hard on himself. He was the type of guy that upgrades himself in a Spartan-like manner. So when I shot scenes where he's in a competition or has to change the mind of the board of directors of his company, I did so with the mind that he doesn't want to win but finds significance in the process of doing so. That's the kind of kid Tak-goo was.

Q : ทักกูก็เป็นแบบนั้นใช่มั้ย

A : เขาเป็นแบบนั้นเสมอครับ เขาทำขนมปังที่เบเกอรี่ไม่ว่ายูคยุง (คนรักคนแรกของทักกู) จะเปลี่ยนไปยังไง เขากลับไปที่พัลบองเบเกอรี่แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะประสบความสำเร็จในทุกเรื่อง เขาประสบความสำเร็จเพียงเพราะพลังของการคิดบวก โดยไม่ต้องต่อสู้หรือแย่งชิงกับใคร ไม่ใช่ว่าเขากดดันตัวเองเกินไป เขาเป็นคนประเภทที่ยกระดับตัวเองขึ้นมาด้วยความมีวินัยของเขาเอง ตอนที่ผมถ่ายทำฉากที่เขาอยู่ในการแข่งขัน หรือตอนที่เขาต้องเปลี่ยนใจคณะกรรมการบริหารของบริษัท ผมแสดงไปด้วยความรู้สึกที่ว่าเขาไม่ได้ต้องการเอาชนะ แต่ค้นหาหัวใจสำคัญของการกระทำดังกล่าว ทักกูเป็นคนแบบนั้นครับ



Reporter : Wee Geun-woo eight@
Photographer : Lee Jin-hyuk eleven@
Editor : Jessica Kim jesskim@, Lee Ji-Hye seven@
<ⓒ10Asia All rights reserved>

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.