6.10.10

My Journey’s Diary : Trip to Korea Episode 8 (Final) – Bye-bye… Seoul !


Bibimbap…last meal in Seoul

และแล้วก็มาถึงมื้อสุดท้ายบนแผ่นดินเกาหลีค่ะ ส่งท้ายด้วยอาหารประจำชาติอีกอย่างของชาวเกาหลี นั่นก็คือ บิบิมพัพ หรือข้าวยำ (ข้าวผัด) เกาหลี เสริฟมาในหม้อหินร้อนๆ มีข้าวและสารพัดผักในชาม พอมาถึงก็ราดซอสพริกเกาหลีสีแดงๆ ลงไป แล้วก็ต้องรีบคลุกให้เข้ากันนะคะ ไม่งั้นข้าวจะไหม้และติดก้นหม้อค่ะ มื้อนี้มีชาบูร้อนๆ เป็นน้ำซุปแก้ติดคอด้วยค่ะ

Side Dish & Shabu Shabu





อิ่มแล้วเดินออกมาก็มาจ๊ะเอ๋กับเจ้าตัวนี้ค่ะ ซึ่งอยู่ข้างๆ ร้านบิบิมพัพ น้องหมูกระต่าย ที่เมืองไทยหาซื้อยากเย็นแถมแพงระยับ ที่นี่มีเป็นเข่งเลือกกันตามใจชอบ

Pig-rabbit !!!


จากนั้นเราก็ไปยังแหล่งช้อปปิ้งสุดฮิตของกรุงโซลค่ะ เมียงดง แหล่งรวมเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง ขนมของกินต่างๆ รวมทั้งของที่ระลึกที่มีหน้าของดาราเกาหลีที่เราคุ้นเคยแปะอยู่เต็มไปหมด มีทุกอย่างที่สามารถใส่ใบหน้าของพวกท่านลงไปได้ ทั้งปฏิทิน โปสเตอร์ นาฬิกา ถ้วยกาแฟ จิ๊กซอว์ ที่ห้อยโทรศัพท์ ปกพาสปอร์ต และอื่นๆ อีกมากมาย ใครรักชอบดารานักแสดงเกาหลี ที่นี่คือสวรรค์ของคุณค่ะ และเป็นแหล่งรวมร้านเครื่องสำอางที่คุณเธอทั้งหลายเป็นพรีเซนเตอร์ ดังนั้นคุณจะเจอพวกเขาทุกซอกทุกมุมของที่นี่ค่ะ

Myeong-dong…Paradise for shopping


ETUDE ลีมินโฮและน้องผักประจำอยู่ร้านนี้ค่ะ



SKIN FOOD ร้านสุดโปรดของคนไทย...เจอไม่ได้เป็นพุ่งเข้าใส่ ราคาถูกมากมาย



ส่วนคนนี้เจ้าพ่อตลาดค่ะ...เจอกันทุกตลาดเลยนะเธอ เบยงจุน (ไปเที่ยวหน้าคงไม่เจอเธอแล้ว เพราะยกสัมปทาน THE FACE SHOP ให้น้องจุงจ๋าไปซะแล้ว)







น้องจุงจ๋า กับ Tony Moly ค่ะ



Nature Republic ยี่ห้อนี้เพิ่งเริ่มเข้ามาในไทยค่ะ...มี “เรน” เป็นพรีเซนเตอร์



เดินไปเดินมาเจออีตาคนนี้เข้าค่ะ ไปยืน Just Drag อยู่ในห้าง M Plaza เลยเลียบๆ เคียงๆ ขอเข้าไปเก็บภาพมาฝากแฟนๆ หน่อย ตอนเดินเข้าไปมีการ์ดของห้างยืนคุมอยู่ เลยต้องเข้าไปถามเขาว่าขอถ่ายรูป (หมอนี่) หน่อยได้มั้ยคะ คุณพี่แกก็ทำหน้างงๆ แล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก และตอบว่า “เชิญเลยครับ” (เจรจาภาษาอังกฤษกันนะคะ ไม่ใช่ภาษาไทย) ขอบอกว่าการ์ดที่นี่แต่งตัวดีมากกก ราวกับบอดี้การ์ดประธานาธิบดี ใส่สูทผูกไทอย่างดี พอหันไปมองหน้าอีตาคนที่ยืนทำเท่ห์ชูนิ้วอยู่ในโปสเตอร์ เฮ้อ...ถ้ามายืนอยู่แถวนี้ สงสัยหมอนี่กลายเป็นขอทานไปจริงๆ แน่ๆ (ตามที่ฮาซุกจินเผาไว้ตอนงานแฟนมีตเมื่อต้นปีว่า เพื่อนของเขาคนนี้แต่งตัวเหมือนขอทาน) เพราะปกติถ้าไม่ออกงาน คุณเธอจะใส่แต่เสื้อยืดย้วยๆ (ที่มั่นใจว่ามันเซ็กซี่) กับกางเกงยีนส์ขาดๆ และรองเท้าแตะ...

Jang Keun Suk & his “Just Drag” at M Plaza^^




หลังจากนั้นเราก็ต้องโบกมือลากรุงโซลกันแล้วค่ะ เพื่อเดินทางไปยังอินชอน (ก่อนที่จะตกเครื่อง)

“ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา” ในที่สุดเราก็ต้องโบกมือลากรุงโซลและประเทศเกาหลีใต้ กลับสู่ไทยแลนด์ดินแดนยิ้มสยามของเรา (ที่ตอนนี้ยิ้มไม่ค่อยออกเพราะเจอระเบิดรายวัน)




Finally, we say good-bye to South Korea…I’d like to thank you to everyone who makes this trip come true. Thank you all sisters, both in Thailand & overseas, for your advices and supports (thanks Raine, Luna, Shiro…for your help^^). Thank you my travel agency, Leelawadee Holiday, for your great service along this trip. Thank you all of tour staffs. And I can’t forget this one (or he’ll mad at me ^^)…JKS, thanks for this great event.

And on top of that, I’d like to thank you everyone who joined this trip with me. We really have a great time ! Thank you for your love to JKS ^^

ก่อนจบบันทึกการเดินทางครั้งนี้ ดิฉันต้องขอขอบคุณทุกๆ ฝ่ายที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ ขอบคุณเพื่อนๆ คริเจทุกท่านทั้งในและต่างประเทศ ที่ช่วยกันหาบัตรเข้างานแฟนมีตมาให้คณะเราจนได้ (ทั้งๆ ที่จองยากแสนยาก) ขอบคุณลีลาวดี ฮอลิเดย์ และพนักงานทุกคนที่ให้การบริการที่ดีมาโดยตลอด ตั้งแต่ขั้นตอนเตรียมงานที่แสนเร่งรีบและฉุกละหุก ขอบคุณ...คุณเอ๊าะและคุณลิง ท่านผู้บริหารของลีลาวดี (ฟังดูดีใช่มั้ยคะ คุณน้อง...อิอิ) ที่จัดหาทัวร์ดีๆ มาไว้บริการเรา (ถึงแม้เดี๋ยวนี้จะไม่ได้นำทัวร์เองแล้วแต่บริการยังเป็นเลิศอยู่เหมือนเดิมนะคะ ) ขอบคุณ...น้องแพน น้องการ์ตูน เจ้าหน้าที่ของลีลาวดี ที่ให้บริการที่ดีกับพี่มาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มเตรียมงานจนถึงวันเดินทาง (หวังว่าคราวหน้าป้ายของหนูคงแงะออกแล้วนะคะ) ขอบคุณ...น้องรัชจัง หัวหน้าทัวร์สุดฮาของเรา ที่ช่วยทำให้คณะของเราไม่เงียบเหงา (ถึงแม้น้องจะแอบมาบอกว่า มา 15 คนเหมือนมา 30 คนเลยนะครับ พี่...555) ขอบคุณ...น้องต่าย ไกด์ท้องถิ่นของเรา สาวลุคเกาหลีแต่หัวใจไทย ที่คอยบริการทุกคนในคณะเป็นอย่างดี (น้องกลับไปอาจต้องกินยาแก้ปวดหัวหลายเม็ดหน่อย) ขอบคุณ...คุณลุงคีซานิม คนขับรถของเรา ที่ให้บริการอย่างดี จอดรถเทียบท่าทุกที่ แบบที่เรียกว่าแทบจะเกยเข้าไปในสถานที่นั้นๆ เลยทีเดียว (เพราะกลัวนางงามจะเดินไกล เดี๋ยวผิวเสีย)

และจะลืมขอบคุณคนนี้ไม่ได้เลยค่ะ (เดี๋ยวมันจะงอน) ก็คือคุณจางกึนซ็อก ที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้ต้องจัดทริปนี้ขึ้นมา (ไม่เคยคิดจะจัดทัวร์ช่วงหน้าร้อนเลย เพราะเกาหลีหน้าร้อนไม่สวย จะสวยฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวเท่านั้น เพราะแกคนเดียว นังซ็อก) และที่สำคัญที่สุด ต้องขอขอบคุณผู้ร่วมทริปทุกท่านที่ร่วมเดินทางไปผจญภัย (ผจญกรรม) ด้วยกันในครั้งนี้ ทั้งเปียกทั้งร้อน แต่ก็ทนเพื่อซ็อก อย่าลืมนะคะ รักซ็อก...ต้องอดทน...555 (เพราะมันจะมีกิจกรรมทดสอบความอดทนของคุณแบบนี้เป็นประจำค่ะ)





I believe that every journeys start from “dream”. In the old times, the well-known explorers like Magellan or Columbus started their journeys without knowing what they will encounter. They just cruising along endless sea. They had nothing except sea, sky, and stars to be their friends. But they believed and they had dream to meet a new world, to meet new people, to experience new things. What they have got from this years long journey? The happiness of traveler is to open new world for himself. To experience new things and keep them in his memory and told his story to his friends when he come back. He will cherish this precious memory the rest of his life. This is the meaning of travelling.

In your life, sometimes you have to go through your hard times, that’s for sure. This is life. But whenever you recalled this precious moment of yours. Whenever you picked up the photos that you took, even the photos may be old as the time pass by but your memory always fresh and clear. They never been old in your own heart.

ดิฉันเชื่อว่าทุกการเดินทางนั้นเริ่มต้นจากความฝัน ตั้งแต่ครั้งอดีตกาล นักเดินทางชื่อก้องโลก อย่างเช่น แม็กเจลแลน หรือโคลัมบัส เริ่มต้นการเดินทางของเขาโดยไม่รู้ว่าพวกเขาจะเจอกับอะไร ได้แต่ล่องเรือไปบนท้องทะเลที่กว้างใหญ่ มีแต่น้ำกับฟ้า มองไม่เห็นฝั่ง มีแค่ดวงดาวเป็นเพื่อน แต่พวกเขามีความเชื่อมีความฝันว่าจะพบกับแผ่นดินใหม่ ผู้คนใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ ที่เขาไม่เคยพบเห็น พวกเขาลำบากตรากตรำนานเป็นปีเพื่ออะไร? ความสุขของนักเดินทางก็คือการได้เปิดโลกใบใหม่ให้กับตัวเอง ได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็น ได้นำเรื่องราวเหล่านั้นกลับมาเล่าสู่ให้แก่เพื่อนฝูงญาติมิตรของเขาฟัง ได้จดจำเรื่องราวที่พบเห็นมาไว้เป็นความทรงจำอันล้ำค่า นั่นคือความหมายของการเดินทาง

ในชีวิตคุณอาจต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมาย พบเจอกับความยากลำบากในชีวิต แต่เมื่อใดที่คุณหวนนึกถึงความทรงจำอันล้ำค่าเหล่านี้ เมื่อใดที่คุณหยิบภาพถ่ายเหล่านั้นขึ้นมาดู ภาพอาจจะลางเลือนไปตามกาลเวลา แต่ความทรงจำของคุณจะแจ่มชัดและไม่มีวันเลือนหายไปจากใจของคุณ

My dear friends, have you ever follow your dreams? Dream will be just a dream forever if you don’t follow it. We definitely cannot fly across the sea to meet JKS in Seoul as we just did, if those days the Wright’s Brothers only dreamed that man can fly like a bird. But they followed their dream and do experiments. Of course they failed thousands times, just to success only one. The great success for mankind, of course. So, if you had dreams, my friends…just dare to dream, dare to win…and your dream will comes true ! A long thousands mile journey always start with first step…

See you again in my next trip ^^ Thanks for reading my blog…

สำหรับผู้อ่านทุกท่าน...วันนี้คุณได้เริ่มเดินทางไขว่คว้าความฝันของคุณหรือยังคะ? ความฝันจะเป็นเพียงความฝันที่ลอยผ่านมาแล้วก็ผ่านไปหากคุณไม่ไขว่คว้ามันไว้ ไม่มีสิ่งใดสามารถเกิดขึ้นได้เพียงเพราะแค่คิดแต่ไม่ลงมือกระทำ เราคงไม่สามารถเหิรฟ้าบินไปหาซ็อกได้ หากในวันนั้นพี่น้องตระกูลไร้ท์แค่คิดว่ามนุษย์น่าจะสามารถบินได้เหมือนนก แต่พวกเขาไม่ลงมือทำบางอย่างลงไป ไม่ได้ลองผิดลองถูกนับเป็นพันๆ ครั้งเพื่อความสำเร็จเพียงครั้งเดียว หากคุณมีความฝัน ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ดิฉันอยากให้คุณกล้าที่จะฝัน แล้วก็กล้าที่จะลงมือทำ และความฝันของคุณก็จะเป็นจริงขึ้นมาได้...”หนทางพันลี้ ย่อมเริ่มด้วยก้าวแรก”...นะคะ

แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้าค่ะ...

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.