24.8.08

Get to know Zhang Yimou

Zhang Yimou, the man behind the Opening Ceremony at 2008 Olympics in Beijing
…by Ladymoon




Tonight the game of mankind, Olympic Games will close its curtain. As I’m writing this article, I look forward to see the splendid Closing Ceremony. To honor the man who is behind the Opening & Closing Ceremony at 2008 Olympics in Beijing, Director Zhang Yimou, I’d like to take you to know more about him.
คืนนี้เกมกีฬาแห่งมนุษยชาติ โอลิมปิกเกมส์จะปิดม่านลงแล้ว ขณะที่ดิฉันเขียนบทความชิ้นนี้ ดิฉันกำลังรอชมพิธีปิดอันตระการตาอยู่ เพื่อเป็นเกียรติแก่บุรุษผู้อยู่เบื้องหลังพิธีเปิดและพิธีปิดการแข่งขันโอลิมปิก ปี 2008 ณ กรุงปักกิ่ง ดิฉันอยากพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้นอีกสักนิด

Zhang Yimou was born on November 14, 1951. He is an internationally acclaimed Chinese Filmmaker and former cinematograher. He made his directorial debut in 1987 with the film “Red Sorghum”. His works are particularly noted for their sensitivity to colour, as can be seen in his “Raising the Red Lantern” or “Hero” or “House of Flying Daggers”.
จางอี้โหมวเกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 1951 เขาเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ชาวจีนที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และอดีตเคยเป็นตากล้องมาก่อน เขาเริ่มงานกำกับในปี 1987 กับภาพยนตร์เรื่อง “Red Sorghum” ผลงานของเขาเป็นที่รู้กันดีว่าเต็มไปด้วยสีสันอันจัดจ้าน อย่างที่เราเห็นกันใน “Raising the Red Lantern” หรือ “Hero” หรือ “House of Flying Daggers” (จอมใจบ้านมีดบิน)

Director Zhang have been nicknamed as "Award Winning Expert" ("huo jiang zhuanye hu") in his native China.
ในประเทศจีน บ้านเกิดของเขา ผู้กำกับจางได้รับสมญานามว่าเป็น “มือล่ารางวัล”

Zhang Yimou was born in Shaanxi Province. As a child he suffered prejudice and derision because of his family's association with the Kuomintang (Nationalist party). His father had been a major under Chiang Kai-shek and an elder brother had followed the Nationalist forces to Taiwan after their 1949 defeat in the civil war.
จางอี้โหมวเกิดในมณฑลซานซี ตอนเป็นเด็กเขาเคยถูกสังคมรังเกียจและเหยียดหยามเพราะครอบครัวของเขาร่วมมือกับพรรคก๊กมินตั๋ง พ่อของเขาเป็นคนสำคัญที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านเจียงไคเช็ค และพี่ชายของเขาก็ติดตามพรรคไปยังไต้หวันหลังจากพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองเมื่อปี 1949

When the Cultural Revolution erupted in 1966 he was forced to suspend studying and worked, first as a farm hand, and then, for seven years, as a labourer in a cotton textile mill, much like the one he portrayed in “Ju Dou”. During this time he took up painting and amateur still photography. He had to sell his blood for five months to get enough money to purchase his first camera when he was 18.
เมื่อเกิดการปฏิวัติทางวัฒนธรรมขึ้นในปี 1966 เขาจำเป็นต้องเลิกเรียนหนังสือ และออกไปทำงาน เริ่มจากการเป็นลูกมือในฟาร์ม แล้วก็ไปเป็นคนงานอยู่ในโรงงานทอฝ้ายอยู่นานถึง 7 ปี เหมือนกับบทบาทในเรื่อง “Ju Dou” ที่เขากำกับนั่นเอง ระหว่างนี้เขาหัดวาดภาพและถ่ายภาพนิ่ง เขาต้องขายเลือดอยู่นานถึง 5 เดือนกว่าจะมีเงินพอซื้อกล้องตัวแรกของเขาตอนอายุ 18 ปี

When the Beijing Film Academy opened in 1978, Zhang was already 27, over-aged and without the prerequisite academic qualifications. He wrote a personal appeal to the Ministry of Culture, citing "ten years lost during the Cultural Revolution" and offered a portfolio of his personal photographic works. The authorities finally relented and admitted him into the Department of Cinematography.
เมื่อวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งเปิดขึ้นในปี 1978 จางอี้โหมวอายุ 27 เลย เขาทั้งอายุเกินและไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าเรียนในวิทยาลัย เขาได้เขียนจดหมายไปถึงรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ในหัวข้อเรื่อง “10 ปีที่สูญเสียไประหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม” และนำเสนอผลงานภาพถ่ายของเขาเอง ในที่สุดทางรัฐบาลยอมให้เขาเข้าเรียนได้

Director Zhang graduated from the Beijing Film Academy in 1982 along with compatriots Chen Kaige. They are often referred to collectively as the Class of 1982. The students saw films by European, Japanese and American art directors, as well as Chinese including the works of Scorsese, Kurosawa, Kubrick, Malick.
ผู้กำกับจางจบการศึกษาจากวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งในปี 1982 พร้อมๆ กับเพื่อนร่วมรุ่น เฉินข่ายเก๋อ พวกเขามักถูกเอ่ยอ้างถึงในฐานะนักศึกษารุ่น 1982 นักศึกษารุ่นนั้นได้ชมภาพยนตร์จากทางยุโรป ญี่ปุ่น และอเมริกา รวมทั้งจากจีน ซึ่งมีผลงานเด่นๆ อย่างของ มาร์ติน สกอร์เซซี, อากิระ คูโรซาว่า, สแตนลี่ย์ คูบริค, และมาลิค เป็นต้น

As was the norm, Zhang and his co-graduates were assigned to small inland studios, and as a cinematograher, he began working for the Guangxi Film Studio. Zhang's first work, One and Eight as director of photography, was made in 1984 together with director Zhang Junzhao. Zhang Yimou's input was telling: he shot from obscure angles, and positioned actors and actresses at the side, rather than center, to heighten dramatic effect, using a “unique and emphatic visual style, based on the asymmetrical and unbalanced composition of the shots and the shooting of color stock as though it were black and white".
เหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป ผู้กำกับจางเริ่มทำงานในสตูดิโอเล็กๆ ในตำแหน่งตากล้อง เขาเริ่มงานกับกวางซี ฟิล์ม สตูดิโอ ผลงานชิ้นแรกของเขา One and Eight ในฐานะผู้กำกับฝ่ายภาพ ถ่ายทำในปี 1984 โดยมีจางจุนโซวเป็นผู้กำกับ ผลงานของจางอี้โหมวนั้นเด่นที่มุมภาพหลบเร้น เขาชอบถ่ายนักแสดงจากด้านข้างมากกว่าถ่ายจากตรงกลางตรงๆ โดยมีสไตล์การนำเสนอภาพที่เฉพาะตัว อาศัยการจัดวางตำแหน่งที่ไม่ลงตัวและดูไม่สมดุลย์ โทนภาพจะดูอึมครึมเหมือนภาพขาวดำ

In 1987 Zhang embarked on his directorial debut, “Red Sorghum”, starring Chinese actress Gong Li, handpicked by Zhang, in her first leading role. Released to widespread critical acclaim, Red Sorghum catapulted Zhang into the forefront of the world's art directors, winning him the Golden Bear for Best Picture at the 1988 Berlin Film Festival. Its rich, earthy visual style of narrative storytelling came to be the hallmark of Zhang's early films.
ในปี 1987 จางอี้โหมวมีผลงานกำกับชิ้นแรกออกมาคือ “Red Sorghum” นำแสดงโดยดาราสาวชาวจีน กงลี่ ที่จางอี้โหมวเลือกมาด้วยตัวเอง “Red Sorghum” ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากมายจากนักวิจารณ์ และทำให้จางอี้โหมวกลายเป็นผู้กำกับแถวหน้าของโลก เขาได้รับรางวัลหมีทองคำ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน ปี 1988 สไตล์การเล่าเรื่องที่เข้มข้นกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของผลงานในยุคแรกๆ ของจางอี้โหมว

His period drama “Ju Dou”,starring Gong Li as the main character, was an early example of Zhang's unique use of colors and lush cinematography and female-centered films.
ละครโบราณเรื่อง “Ju Dou” ที่นำแสดงโดยกงลี่ คือตัวอย่างของการใช้สีสันอันจัดจ้านสไตล์จางอี้โหมว และการนำเสนอเรื่องที่มีผู้หญิงเป็นตัวเดินเรื่อง

Fresh after the success of Ju Dou, Zhang began work on what has been considered by many as his magnum opus, “Raise the Red Lantern”. Based on novelist Su Tong's book, Wives and Concubines, the film depicted the realities of life in a rich family compound during the 1920s. Gong Li was again featured in the leading role, her fourth collaboration with director Zhang. The film was released in its home country in 1991 to immediate political controversy, due to officials fearing that the story would be taken as an allegory against Chinese communist authoritarianism. Although the screenplay had been approved by censors prior to shooting, the film itself was initially banned from theatrical release in China.
หลังจากความสำเร็จของ Ju Dou จางอี้โหมวเริ่มผลิตผลงานที่ถือได้ว่าเป็นงานชิ้นทำให้เขาดังเป็นพลุแตก นั่นก็คือ “Raise the Red Lantern” ซึ่งสร้างจากนิยายของซูตง เรื่อง Wives and Concubines ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนชีวิตจริงของครอบครัวเศรษฐีในยุคปี 1920 กงลี่นำแสดงอีกเช่นเคย เป็นผลงานชิ้นที่ 4 ที่เธอร่วมงานกับผู้กำกับจาง ภาพยนตร์เรื่องนี้นำออกฉายที่ประเทศบ้านเกิดของเขาในปี 1991 และถูกทางรัฐบาลสั่งแบนทันที เพราะเกรงว่าเนื้อเรื่องจะขัดต่อการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ของรัฐบาลจีนในขณะนั้น ถึงแม้ตัวบทจะผ่านการเซ็นเซอร์แล้ว แต่สุดท้ายก็ถูกห้ามฉายในโรงภาพยนตร์อยู่ดี

On the other hand, international reaction to “Raise the Red Lantern” was almost unanimous acclaim. Film critics noted its "voluptuous physical beauty" and sumptuous use of colors. Gong Li's acting was also praised as starkly contrasting with the roles she played in Zhang's earlier films. “Raise the Red Lantern” was nominated for the Best Foreign Language Film category at the 1991 Academy Awards, being the second Chinese film to earn this distinction (after Zhang's Ju Dou). It eventually lost out to Gabriele Salvatore’s Mediterraneo.
แต่เสียงตอบรับจากนานาชาติกลับเป็นในทางตรงข้าม “Raise the Red Lantern” ได้รับคำชื่นชมอย่างมากมาย นักวิจารณ์บอกว่ามันคือ “ความเย้ายวนอันงดงาม” และเป็นการใช้สีสันที่แสนอลังการ การแสดงของกงลี่ก็ได้รับคำชื่นชมมากมายต่างกับเรื่องอื่นๆ ที่เธอเคยแสดงให้กับจางอี้โหมว “Raise the Red Lantern” ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปี 1991 เป็นภาพยนตร์จีนเรื่องที่ 2 ที่ได้รับเกียรติเช่นนี้ (ต่อจาก Ju Dou ของผู้กำกับจางนั่นเอง) ถึงสุดท้ายจะพ่ายแพ้ต่อ Mediterraneo ของ Gabriele Salvatore ก็ตาม

Having received international recognition for his earlier works, Zhang completed a major phase of his directorial work with the period gangster drama “Shanghai Triad”. The film, which was released in 1995, featured leading actress Gong Li in her seventh film under Zhang's direction. The two had a romantic as well as professional relationship, but this would end during production of “Shanghai Triad”. Zhang and Gong Li would not work together again until 2006 in “Curse of the Golden Flower”.
เมื่อได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จางอี้โหมวก็ไปกำกับหนังแนวเจ้าพ่อ “Shanghai Triad” ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายในปี 1995 นำแสดงโดยกงลี่ เป็นผลงานเรื่องที่ 7 ที่เธอทำงานกับผู้กำกับจาง ทั้ง 2 คนมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันนอกจากแค่ความสัมพันธ์เรื่องงาน แต่มันก็จบลงระหว่างการถ่ายทำ “Shanghai Triad” ผู้กำกับจางกับกงลี่ไม่ได้ร่วมงานกันอีกเลยจนกระทั่งปี 2006 ในเรื่อง “Curse of the Golden Flower” (ศึกเจ้าบัลลังก์วังทอง)

In 2002, Zhang's major project was the drama “Hero” . The film was a major change in direction for Zhang, as it represented his first foray into epic filmmaking. Boasting an impressive lineup of Asian stars, including Jet Li, Maggie Cheung, Tony Leung, Zhang Ziyi, and Donnie Yen. “Hero” became one of the few foreign-language films to debut at #1 at the U.S. box office, and was one of the nominees for Best Foreign Language Film at the 2003 Academy Awards.
ในปี 2002 จางอี้โหมวมีหนังฟอร์มยักษ์เรื่อง “Hero” ภาพยนตร์เรื่องนี้เปลี่ยนแนวของผู้กำกับจาง มาเป็นหนังแนวโบราณ โดยมีดาราระดับแนวหน้าของเอเชียร่วมแสดง อาทิเช่น เจ็ต ลี (หลี่เหลียนเจี๋ย) แม๊กกี้ จาง (จางม่านอวี้) โทนี่ เหลียง (เหลียงเฉาเหว่ย) จางซิยี่ และดอนนี่ เหยียน "Hero” เป็นภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องแรกๆ ที่เปิดตัวในบ็อกซ์ออฟฟิศของอเมริกาสูงเป็นอันดับ 1 และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขา ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ในงานออสการ์ ปี 2003

Zhang followed up the huge success of “Hero” with another martial arts epic, “House of Flying Daggers” in 2004. It starred Zhang Ziyi, Andy Lau, and Takeshi Kaneshiro as characters caught in a dangerous love triangle. “House of Flying Daggers” was generally well-received among critics, who noted the flamboyant use of color that harked back to some of Zhang's earlier works. However, compared to “Hero”, it was a more modest international success.
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากจาก “Hero” จางอี้โหมวจึงผลิตผลงานชิ้นต่อมา “House of Flying Daggers” (จอมใจบ้านมีดบิน) ในปี 2004 นำแสดงโดย จางซิยี่, แอนดี้ หลิว (หลิวเต๋อหัว), และทาเคชิ คาเนชิโร่ เป็นเรื่องราวของรักสามเส้าอันรันทด “House of Flying Daggers” ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากนักวิจารณ์ เป็นการใช้สีสันงดงามจัดจ้านที่ทำให้นึกถึงผลงานชิ้นก่อนๆ ของผู้กำกับจาง แต่ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว ยังไง “Hero” ก็ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติมากกว่าอยู่ดี

Zhang's most recent film, 2006's Curse of the Golden Flower, we saw him reunite with leading actress Gong Li. Including Taiwanese singer Jay Chou and Hong Kong star Chow You-Fat.
ผลงานเรื่องล่าสุดของจางอี้โหมวในปี 2006 “Curse of the Golden Flower” เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของจางอี้โหมวกับกงลี่ โดยมีนักร้องไต้หวัน เจย์ โจว (โจวเจี๋ยหลุน) และดาราฮ่องกง โจวเหวินฟะ มาร่วมแสดงด้วย

Beginning in the 1990s, Zhang Yimou began directing stage productions, as well as continuing his film career. In 1998, Zhang directed an acclaimed version of the music opera, Puccini’s Turandot, at the Forbidden City, Beijing.
ต้นปี 1990 จางอี้โหมวเริ่มกำกับการแสดงบนเวที ควบคู่ไปกับงานภาพยนตร์ของเขา ในปี 1998 จางอี้โหมวกำกับละครเพลงโอเปร่า Puccini’s Turandot ณ นครต้องห้าม ที่กรุงปักกิ่ง

Zhang Yimou also directed a folk musical, “Third Sister Liu” ("Liu Sanjie"). It began on 16 August 2003 and was performed in an outdoor scenic setting on the Li River with a background of mountains in Yangshuo County of Guilin City in south China.
จางอี้โหมวยังกำกับละครเพลงพื้นบ้าน “Third Sister Liu” ("Liu Sanjie") โดยเริ่มแสดงวันที่ 16 สิงหาคม 2006 และทำการแสดงกลางแจ้ง ณ ริมแม่น้ำหลี่ โดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขา ในเขตหยางโจวของเมืองกุ้ยหลินทางตอนใต้ของจีน

Zhang was chosen to direct a portion of the closing Ceremonies of the 2004 Summer Olympics in Athens, Greece, as well as the Opening Ceremony of the 2008 Summer Olympics in Beijing, China. He will direct the Closing Ceremony as well.
จางอี้โหมวได้รับเลือกให้มีส่วนร่วมในพิธีปิดกีฬาโอลิมปิคปี 2004 ในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ และเขาก็ได้มากำกับพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก ปี 2008 ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน รวมทั้งพิธีปิดที่กำลังจะมีขึ้นนี้ด้วย

Zhang has a deep understanding of the concepts of the Beijing Olympic Games and the soul of the Olympics. He as was involved in the Beijing Olympic Games from the start – from promotional videos for the bid process to promoting the Beijing Olympic emblem.
จางอี้โหมวมีความเข้าใจในคอนเซ็ปต์และจิตวิญญาณของกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งเป็นอย่างดี เขามีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่การทำวีดีโอโปรโมตเพื่อเขาชิงชัยการเป็นเจ้าภาพ ไปจนถึงการโปรโมตสัญลักษณ์ของกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้

For much of the past quarter century, the Chinese director Zhang Yimou made films that showcased his country’s struggle against poverty, war and political misrule to the outside world, films that Chinese, for the most part, never saw.
กว่ากึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ผู้กำกับชาวจีนผู้นี้ จางอี้โหมว ได้ผลิตผลงานดีๆ ที่เกี่ยวกับการดิ้นรนต่อสู้กับความยากจนในประเทศบ้านเกิดของเขา นำเสนอภาพสงครามและการเมืองสู่สายตาคนภายนอก ภาพยนตร์ที่คนจีนส่วนใหญ่แทบไม่เคยได้ผ่านสายตา

Zhang’s terse, gritty epics were banned by government censors for portraying China’s ugly side. When he won an award at the Cannes Film Festival in 1994, the authorities stopped him from attending. Up for an Oscar one year, officials lobbied to have his film withdrawn from the competition.
ผลงานของจางอี้โหมวถูกทางรัฐบาลห้ามแพร่ภาพเพราะนำเสนอภาพที่ไม่น่าชื่นชมของประเทศจีน ตอนที่เขาได้รับรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานน์ส ในปี 1994 ทางรัฐบาลสั่งห้ามไม่ให้เขาไปร่วมงาน ในงานออสการ์ปีหนึ่ง ทางการถึงขนาดทำการล็อบบี้เพื่อให้ถอดหนังของเขาออกจากการแข่งขัน

But finally in the Opening Ceremony at 2008 Olympics in Beijing, with President Hu Jintao of China, President Bush and other world leaders in attendance and perhaps one billion people watching live on television, Zhang shown his phenomenal works to their eyes.
แต่สุดท้ายแล้วในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก ปี 2008 ในกรุงปักกิ่ง นายกรัฐมนตรีหูจิ่นเทา ประธานาธิบดีบุช และผู้นำจากทั่วโลก รวมทั้งผู้ชมกว่าพันล้านคนที่รอชมอยู่หน้าจอทีวี ก็ได้ตระหนักถึงฝีมืออันเป็นสุดยอดของจางอี้โหมวที่ปรากฏต่อสายตาของทุกคน

Zhang has served as an artistic adviser to Beijing, promoted the nation’s image abroad and produced a short film to help China win the right to host the 2008 Olympics. He is now a member of the Chinese People’s Political Consultative Conference, the country’s top political advisory body.
จางอี้โหมวเป็นที่ปรึกษาด้านศิลปะให้กับปักกิ่ง เพื่อโปรโมตภาพลักษณ์ของประเทศออกสู่สายตาคนต่างชาติ และผลิตหนังสั้นในการช่วยให้ประเทศจีนได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปี 2008 ตอนนี้เขาเป็นสมาชิกของ คณะที่ปรึกษาด้านการเมืองของสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญให้กับประเทศของเขา

With his long trail, finally he became the pride of China & Asia and embraced by the Government. And people around the world are looking forward to see the Closing Ceremony that will appear before their eyes in few hours from now on.
จากการเดินทางอันยาวนาน ในที่สุดจางอี้โหมวก็กลายเป็นความภาคภูมิใจของประเทศจีนและชาวเอเชีย เขาได้รับการต้อนรับจากรัฐบาล ผู้คนทั่วโลกกำลังรอชมพิธีปิดอันยิ่งใหญ่ที่จะปรากฏต่อสายตาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านับจากนี้ไป



“A journey of a thousand miles begins with a single step.”

”หนทางหมื่นไมล์ ย่อมต้องเริ่มด้วยก้าวแรกเสมอ”



(Special thanks to wikipedia.org)

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.