Episode 2 : I felt so much repentance for the drama, First love
The rating of the program was unprecedented and the popularity I gained was more than I should deserve. Nevertheless, this drama also generated so much regret to me, actor BYJ. During those 8 months for shooting 66 episodes of [First love], I experienced a great frustration from my lack of acting ability. After finishing the filming, although all the staffs and other performers had left the shooting spots, I still often sit alone absentmindedly at the scenes.
เรตติ้งของละครสูงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และความนิยมที่ผมได้รับก็มากเกินกว่าที่ผมสมควรได้รับ แต่ละครเรื่องนี้ก็นำความเสียใจมาให้ผมมากมาย สำหรับนักแสดงที่ชื่อ เบยองจุน ตลอด 8 เดือนของการถ่ายทำ 66 ตอน ของ First love ผมได้พบกับความผิดหวังจากการขาดความสามารถด้านการแสดงของผม หลังจากถ่ายทำเสร็จ ถึงแม้ทีมงานและคนอื่นๆ จะกลับกันไปหมดแล้ว แต่ผมยังคงนั่งอยู่คนเดียว จิตใจล่องลอยนึกถึงฉากที่ถ่ายไป
"Why didn't I perform well just like this for those scenes..."
"ทำไมฉันไม่แสดงให้ดีแบบนี้ตอนถ่ายฉากนั้น"
"I could perform better under those circumstances if.....
"ฉันแสดงได้ดีกว่านั้นนี่นา”
I always spent one or two hours to recall the scenes that had already done. Then I would feel regretful because I could do better and then blamed myself for not performing better. Luckily, there was not only remorse left. When I recollect the passion I put into [First love], I can smile now. Coming out safely from the breathtaking event has become a pleasant memory now.
ผมมักใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงหมดไปกับการทบทวนฉากที่ถ่ายทำไปแล้ว แล้วผมก็จะรู้สึกเสียใจ เพราะผมสามารถทำได้ดีกว่านั้น แล้วก็กล่าวโทษตัวเองที่ไม่แสดงให้ดี ยังดีที่ไม่ใช่มีเพียงแค่ความรู้สึกสำนึกเสียใจ เวลาที่ผมนึกถึงแรงกายแรงใจที่ทุ่มเทลงไปให้กับ First love ผมยังมีรอยยิ้ม การรอดปลอดภัยมาจากเหตุการณ์ชวนใจหายใจคว่ำกลายมาเป็นความทรงจำที่น่ารื่นรมย์
The first day shooting was in Chun-chon. It was the scene that I was on a motorcycle to outrun a jeep but I fell down when I tried to avoid a head-on crash with a truck. Right at the moment, I came running after the jeep and was ready to fall down, I found I was too close to the central line of the highway. The truck ran without putting a stop. If I fell down as I supposed to, the truck would have run over my head directly without a pause.
วันแรกเราถ่ายทำกันที่ชุนเชิน เป็นฉากที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์แข่งกับรถจิ๊ป แต่ผมต้องล้มลงเพื่อไม่ให้ประสานงาเข้ากับรถบรรทุก ตอนนั้นผมขี่ไล่ตามรถจิ๊ปมาและเตรียมจะล้มลง ผมพบว่าตัวเองอยู่ใกล้เส้นแบ่งกลางถนนมากเกินไป รถบรรทุกกำลังวิ่งตะบึงมาแบบไม่มีการหยุด ถ้าผมล้มลงตรงนั้น รถบรรทุกต้องแล่นทับศีรษะผมแน่ๆ
With all my strength, I slowed down my motorcycle and fell down as I should be. I felt that there was only a scant distance at that time. The running sound of the truck wheels brushed against me as a blast of wind and then I was thrown on the road. When I got up on my feet, I felt the pain from my left wrist, and the surroundings were noisy.
ผมใช้แรงทั้งหมดที่มี ชะลอความเร็วมอเตอร์ไซค์แล้วก็ล้มลงตามบท ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามีระยะห่างกันแบบเฉียดฉิวเลยทีเดียว เสียงล้อรถบรรทุกแล่นผ่านผมไปราวกับสายลม และผมก็ล้มลงบนถนน พอผมลุกขึ้นยืน ผมรู้สึกเจ็บที่ข้อมือซ้าย และรอบตัวมีเสียงเอะอะโวยวายกันใหญ่
People were frightened out of their wits and came running to me from opposite direction. Also, Lee Yeung-Jin PD shouted "Stop filming". They thought I must have got hit. Luckily, the camera man had caught that scene at the critical moment which he was astonished by it with himself.
ทุกคนตกใจกันแทบสิ้นสติ และวิ่งตรงมาหาผมจากฝั่งตรงข้าม ผู้กำกับ Lee Yeung-Jin ตะโกนว่า "หยุดถ่ายก่อน" พวกเขาคิดว่าผมโดนรถชน โชคดีที่ตากล้องจับภาพนาทีวิกฤตินั้นไว้ได้ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็ตกตะลึงไปเหมือนกัน
Accidents didn't come to an end because of this incidence. It happened again on the next day..... After the accident happened on the previous day, I was rather calm. However, according to the fluster of the surrounding people, I recalled the situation and felt nothing but dizzy. 'What would happen if I fell down a little bit early', the thought made me feel a chill creep along my spine and gave me goose bumps. However, giving me the goose bumps was not problem.
อุบัติเหตุยังไม่จบแค่นั้น เพราะเหตุการณ์แบบนี้ยังเกิดขึ้นอีกครั้งในวันต่อมา หลังจากเกิดอุบัติเหตุขึ้นวันก่อน ผมอยู่ในอาการสงบ ถึงจะทำให้ผู้คนแตกตื่น แต่พอผมนึกทบทวนเหตุการณ์ ผมไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากมึนๆ หัว 'จะเป็นยังไงผมล้มลงเร็วกว่านั้นอีกนิด' แค่คิดก็ทำให้ผมเสียวสันหลังแล้ว แต่ขนลุกขนพองแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผมหรอก
The ligament of my left wrist had not been itself since the accident. There were still many motorcycle scenes left but my whole strength wouldn't come out through my wrist when my hands hold the handles of the motorcycle. With anxious feeling, I went for the next shooting. This time, I had to ride the motorcycle and go up the stairs in the scenes. Although I could ask for a stunt man, PD would like me to do it but also I wanted to accomplish it myself.
เอ็นข้อมือซ้ายของผมยังไม่เข้าที่ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุนั่น ยังมีฉากขี่มอเตอร์ไซค์เหลืออีกหลายฉาก แต่มันไม่มีแรงส่งผ่านข้อมือของผมออกมาเลยตอนที่ผมจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ ผมไปถ่ายฉากต่อไปทั้งๆ ที่ยังกังวลใจ คราวนี้ผมต้องขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นบันได ถึงผมจะสามารถเรียกใช้ตัวแสดงแทนได้ ผู้กำกับเองก็อยากให้ผมทำแบบนั้น แต่ผมอยากแสดงด้วยตัวเอง
With the bandage, I tightened my left wrist fully and then rode on the motorcycle. I kept telling myself, "I can do it", and received the "Cue" sign as well. With a roaring sound, the motorcycle rose quickly...it was about in the mid-air. It might be the possibility of my left wrist could not function normally that I dropped the handle all of a sudden. It seemed that the front wheel of the motorcycle went up to the sky, and on the other hand I felt I was thrown with enervation down to the ground.
ผมเกร็งข้อมือซ้ายที่มีผ้าพันเอาไว้เต็มกำลัง แล้วขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ผมบอกกับตัวเองว่า "ฉันต้องทำได้สิ" แล้วก็ได้ยินเสียงบอกคิวดังขึ้น มอเตอร์ไซค์คำรามลั่นแล้วทะยานขึ้นไปอย่างเร็ว มันลอยอยู่กลางอากาศ อาจเป็นไปได้ที่ข้อมือซ้ายของผมไม่อาจทำงานได้ตามปกติ แฮนด์รถถึงได้หลุดจากมือของผม ดูเหมือนว่าล้อหน้าจะลอยขึ้นไปบนฟ้า แต่ผมรู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยงให้ตกลงมาที่พื้น
Suddenly, Someone grabbed the back of my neck with his hands. And then my body was already rolled onto the lawn beside the stairs. Thanks to the PD of martial arts who had suspected about my condition in advance and thus kept a very close eye on me. As a result, he could catch and throw me into the lawn the minute he saw I fell backward. With this always in mind, I thanked for what he had done for me and his marvelous skills till now.
ทันใดนั้นมีใครบางคนคว้าคอเสื้อของผมไว้ แล้วร่างของผมก็กลิ้งตกลงมาบนสนามข้างๆ บันได ต้องขอบคุณผู้กำกับคิวบู๊ที่นึกสงสัยอาการของผมอยู่ก่อนแล้ว จึงได้คอยจับตาดูผมเอาไว้ ผลก็คือเขาคว้าตัวผมไว้ทัน แล้วเหวี่ยงผมไปที่สนามทันทีที่เห็นว่าผมหงายหลังลงจากรถ สิ่งนี้ยังอยู่ในใจผมเสมอ จนถึงเดี๋ยวนี้ผมยังนึกขอบคุณสำหรับสิ่งที่เขาทำให้ผม และทักษะอันน่าอัศจรรย์ของเขา
Then, I challenged again. There was no need for self-inspiration this time. The pride within was far more than enough. The insufferable feeling against my left wrist, stairs and motorcycle inspired me to make it this time. The price for the success was numerous remaining of JuJuBa(Korean ice cream-it's not soft ice cream but frozen ice cream). The best treatment for sprain of the wrist ligament is to apply an ice-pack.
และแล้วผมก็ต้องเสี่ยงตายอีกครั้ง คราวนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยแรงบันดาลใจส่วนตัว ศักดิ์ศรีที่มีก็มากจนเกินพอ อาการเจ็บเจียนตายที่ข้อมือซ้าย ขั้นบันได และมอเตอร์ไซค์คือแรงดลใจให้ผมทำสิ่งนี้ ความสำเร็จครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้แก่ไอติมจูจุ๊บเหล่านั้น (ไอติมหวานเย็นสีๆ แบบหลอดที่หักตรงกลาง ในเมืองไทยก็เคยมีขายค่ะ...ผู้แปล) การเยียวยาที่ดีที่สุดสำหรับอาการเอ็นข้อมือส้น คือใช้ถุงน้ำแข็งประคบไว้
Because of continuous filming, I did not have the chance to receive proper treatment and what I needed most back then was ice. However, how could we obtain ice at the filming spot? Therefore, we came with the alternative, Jujuba. My managers, Young-chan and Dae-ok, bought the Jujuba from a local store again and again. Repeatedly, the Jujuba melted, and someone would eat it till no one wanted to eat it ever again, and there were about 40 ~ 50 vinyl bags of Jujuba left.
เพราะการถ่ายทำดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ผมไม่มีโอกาสไปรับการรักษาอย่างถูกต้อง และสิ่งที่ผมต้องการที่สุดในตอนนั้นก็คือน้ำแข็ง แต่เราจะไปหาน้ำแข็งมาจากที่ไหนกันล่ะ แล้วเราก็พบทางเลือกใหม่ นั่นก็คือ ไอติมจูจุ๊บ ผู้จัดการของผม Young-chan และ Dae-ok ไปซื้อจูจุ๊บมาจากร้านค้าแถวๆ นั้นครั้งแล้วครั้งเล่า พอจูจุ๊บเริ่มละลาย ก็จะมีคนช่วยกิน จนกระทั่งไม่มีใครอยากกินมันอีกแล้ว และยังมีจูจุ๊บในถุงพลาสติกเหลืออีก 40-50 ถุงได้
I got injured again during my filming of [First love]but it was too feeble to compare with previous 2 occasions. The scene would be taken place in a warehouse, and I would come across a lynching of the gang. Actually, all action scenes including dodging and striking had been pre-arranged according to the script.
ผมได้รับบาดเจ็บอีกครั้งระหว่างถ่ายทำ First Love แต่แค่เล็กๆ น้อยๆ เมื่อเทียบกับ 2 เหตุการณ์ข้างต้น มันเป็นฉากในโกดัง ผมต้องปะทะกับพวกแก๊งมาเฟีย คิวบู๊ทั้งหมดรวมทั้งจังหวะหลบหลีกและชกต่อย ได้มีการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วตามบท
Nevertheless, a fist was coming toward me unexpectedly. 'Puck' was definitely not a sound effect but a burst came from my lips. The sting shuddered an instant spasm throughout my body. As we have known, a boxer would feel like hell when he got a punch in the abdomen and feel like heaven when he got hit on the face. I had never understood the refreshment like it until I was given a punch on my face. When I wiped the blood off, I found an awfully sorry face in front of me. It belonged to Mr. Yun Jin-ho.
แต่หมัดก็ยังพุ่งตรงเข้ามาหาผมแบบไม่คาดฝัน “พลั่ก” นั่นไม่ใช่เสียงซาวด์เอฟเฟ็คอย่างแน่นอน แต่มันดังมาจากริมฝีปากของผม แรงต่อยส่งให้ผมสั่นไปทั้งตัว อย่างที่เรารู้กันอยู่ นักมวยจะรู้สึกเหมือนตกนรกถ้าถูกชกเข้าที่ท้อง และจะรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ (หลับทั้งยืน) เมื่อถูกชกเข้าที่ใบหน้า ผมไม่เคยเข้าใจความหมายนั้น จนกระทั่งโดนอัดเข้าเต็มๆ ที่ใบหน้าตัวเอง ตอนที่ผมเช็ดเลือดออก ผมพบว่ามีใบหน้าที่เสียใจอย่างหนักลอยอยู่ตรงหน้าผม นั่นคือใบหน้าของ Yun Jin-ho
Although I explained to Mr. Jinho many times that there was nothing to feel sorry about, I still could not wipe out his sorry look throughout the all filming. Because my lips got torn and swollen up, I had to postpone my scheduled CF photographing as a result. From the next day, it became my turn to feel sorry. I withheld for his intention to take extra care of me but he still bought me this and that, and made me feel nothing but awe-struck.
ถึงผมจะอธิบายให้คุณ Jinho ฟังหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องรู้สึกเสียใจ ผมก็ยังไม่อาจลบท่าทางเสียอกเสียใจไปจากเขาได้อยู่ดี เพราะปากของผมฉีกและบวมเจ่อ ผมต้องเลื่อนการถ่ายทำโฆษณาออกไป เพราะเหตุนี้ วันต่อมาถึงตาที่ผมต้องเป็นฝ่ายเสียใจบ้าง ผมต้องคอยห้ามไม่ให้เขามาดูแลผมเป็นพิเศษ แต่เขาก็ยังคอยซื้อนั่นซื้อนี่มาให้ผม และทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่
To make the matter worse, the protested phone calls against Mr. Jinho from my fans flooded in after my injury news was reported on the newspapers. I was so embarrassed that I wished to hide in a rathole
ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ เสียงโทรศัพท์ต่อว่าคุณ Jinho จากแฟนๆ ของผม ที่กระหน่ำโทรกันเข้ามาหลังจากข่าวที่ผมได้รับบาดเจ็บแพร่ออกไปในหนังสือพิมพ์ ผมรู้สึกอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
First love had taught me one thing, tears, as being a performer. As I had lived, I did not cry particularly. However, this drama taught the method about how to cry. There was the scene that Mr. Kim In-Moon, who played the role as my father, screamed "there is no need for everything" toward me as he laid in a sickbed due to lynching.
First Love ได้สอนผมอย่างหนึ่ง นั่นก็คือน้ำตาในฐานะนักแสดง ตลอดชีวิตของผม ผมไม่ได้ร้องไห้แบบสั่งได้ แต่ละครเรื่องนี้สอนวิธีร้องไห้ให้ผม มีฉากที่คุณ Kim In-Moon ซึ่งเล่นเป็นพ่อของผมร้องตะโกนใส่ผมว่า "ฉันไม่อยากมีลูกอย่างแก” ตอนที่เขานอนป่วยอยู่บนเตียงเพราะถูกรุมทำร้าย
I was supposed to tear and run out from the sickroom. I suspected "Can I really succeed?" before the filming. However, the instant I ran out from the sickroom, my tears waited impatiently and came down from my eyes. After finishing the scene, I took a rest in my VAN, and my tears were still running as before. Because of joy, my mouth was having a smile but my eyes were still full of tears.
ผมจะต้องร้องไห้แล้ววิ่งออกไปจากห้องผู้ป่วย ก่อนถ่ายทำผมยังข้องใจว่า "ฉันจะทำได้หรือนี่?" แต่ทันทีที่ผมวิ่งออกจาห้อง น้ำตาของผมก็ไหลออกมาเอง หลังจากถ่ายฉากนั้นเสร็จ ผมไปนั่งพักผ่อนในรถตู้ น้ำตาของผมยังคงไหลไม่หยุดเพราะความปลื้มปีติ ปากของผมมีรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับมีน้ำตานอง
After Young-Chan, who was in the Van beforehand, saw me in such way, he felt puzzled but couldn't help himself from laughing. Anyway, I didn't care. I'm still wondering how I got those tears. It's probably because of the previous experience, I could be tearing freely without getting nervous when I saw Choi Su-Jong, my elder brother in the drama, lying down in a ward due to a traffic accident. I could not understand that I, who was never a cry baby, could cry just for performance. After lots of thinking, I drew a conclusion that I was influenced by the surrounding people, Mr. Kim In-Moon, Mr. Choi Su-Jong and Miss Song Che-Hwan, my elder sister in the drama.
Young-Chan ซึ่งอยู่ในรถก่อนแล้ว เขาเห็นผมในอาการนั้น จึงทำหน้างงๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แต่ผมไม่สนหรอก ผมยังประหลาดใจอยู่ว่าน้ำตาพวกนี้มาจากไหน อาจเป็นเพราะประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมเห็น Choi Su-Jong พี่ชายในละครของผม นอนอยู่ในห้องผู้ป่วยเพราะอุบัติเหตุ ผมก็ไม่เข้าใจว่าคนที่ไม่ใช่เด็กขี้แยอย่างผม กลับร้องไห้ออกมาได้ หลังจากคิดแล้วคิดอีก ผมจึงได้ข้อสรุปว่าผมได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้าง ทั้งคุณ Kim In-Moon , Choi Su-Jong และ Song Che-Hwan ซึ่งเล่นเป็นพี่สาวของผม
They treated me as one of the family not only in the real life but also in the filming which helped me to devote myself into the role smoothly. At that time, Mr. Kim In-Moon and I were always the first to arrive at the shooting spot on every filming day. When I greeted Mr. Kim in the waiting room while no one else was there, he would always give me a hug and a pat on my hip. Such way of greeting had became the beginning of our daily task since then. In addition, I changed the addressing from 'Sir' to 'Father'. To me, Mr. Kim was really a father rather than a senior performer.
พวกเขาปฏิบัติต่อผมเหมือนเป็นคนในครอบครัว ไม่ใช่แค่ในชีวิตจริงแต่ตอนถ่ายทำด้วย ซึ่งช่วยให้ผมเข้าถึงบทบาทได้อย่างแนบเนียน ตอนนั้นคุณ Kim In-Moon และผมมักเป็นคนแรกที่มาถึงกองถ่าย คุณคิมจะทักทายผมที่อยู่ในห้องด้วยการกอดและตบเบาๆ ที่สะโพกของผม การทักทายแบบนั้นกลายมาเป็นการเริ่มต้นวันทำงานในแต่ละวันของเรานับแต่นั้นมา และผมยังเปลี่ยนสรรพนามเรียกขานเขาจาก “คุณ” มาเป็น “พ่อ” อีกด้วย สำหรับผมแล้ว คุณคิมเป็นเหมือนพ่อมากกว่านักแสดงรุ่นพี่
Chan-Woo's family in [First love] coordinated with the reality. During the meal time, other team would eat individually but our family always ate together. Mr. Kim used to take out the previously prepared medicine from his pocket if someone looked tired due to the filming.
ครอบครัวของชางวุนใน First Love สอดคล้องกับความเป็นจริง ระหว่างทานอาหาร ทีมอื่นๆ จะต่างคนต่างกิน แต่ครอบครัวของเราจะกินด้วยกันเสมอ คุณคิมยังชอบหยิบยื่นยาที่ติดตัวไว้ในกระเป๋าออกมาให้ ถ้าเห็นใครมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการถ่ายทำ
Mr. Su-Jong gave me clothes, shoes, etc. and treated me as his younger-brother. Moreover, Miss. Chae-Hwan always served us warm coffee that was made by herself. [First love]Team were having the first dining get-together. It was normal to have many toasts but Mr.Kim, who was not at good health, had a hard time to refuse younger men's toasts.
พี่ Su-Jong ชอบให้เสื้อผ้า รองเท้า และทำเหมือนผมเป็นน้องชายของเขาจริงๆ ส่วนพี่ Chae-Hwan ก็ชอบเสริฟกาแฟอุ่นๆ ที่เธอชงมาเอง ตอนที่ทีม First Love ออกไปกินมื้อเย็นด้วยกันครั้งแรก เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมีการดื่มฉลองกัน แต่คุณคิมซึ่งมีสุขภาพไม่ดีนัก ต้องคอยปฏิเสธการดื่มคารวะจากพวกหนุ่มๆ ด้วยความยากลำบาก
As Mr. Su-Jong and I sat beside Mr. Kim's, we announced, "Father, accept all. we'll handle", and Mr. Kim received all toasts without hesitation. Of course, it was us brothers to get drunk.
เมื่อพี่ Su-Jong กับผมนั่งลงข้างๆ คุณคิม เราจึงประกาศว่า “พ่อครับ รับไว้เถอะ เดี๋ยวเราจัดการเอง” จากนั้นคุณคิมก็รับการคารวะแบบไม่ต้องลังเลใจอีกเลย แน่นอนย่อมเป็นเรา 2 พี่น้องที่ดื่มแทน
Lee Yeung-Jin PD had taught me a great lesson that I would never forget. Once I wore trousers that should be tied up at the ankle. In order to be more dandy, I didn't tie them up as I was supposed, and Lee PD called me by name. He pointed at the ankle of my trousers and scolded "what you say and what you wear are the models among all teenagers. Fans view the performers as their teachers. How can you appear in such way? ". The scold was so unexpected. At that time, I was so embarrassed that my face turned red. I am still keeping the lesson in my mind, 'Performer is a public person'.
ผู้กำกับ Lee Yeung-Jin ได้สอนบทเรียนดีๆ ให้กับผมที่ผมไม่มีวันลืม มีอยู่ครั้งหนึ่งผมสวมกางเกงแบบที่ต้องผูกเชือกตรงข้อเท้าให้เรียบร้อย แต่เพื่อให้ดูเท่ ผมเลยไม่ผูกเชือกนั่น ผู้กำกับลีตะโกนเรียกผม เขาชี้ไปที่กางเกงของผมและดุผมใหญ่ “สิ่งที่นายพูด สิ่งที่นายสวม เป็นแบบอย่างสำหรับเด็กวัยรุ่น แฟนๆ จะเห็นดาราของเขาเป็นเหมือนแม่แบบ นายแต่งตัวแบบนั้นได้ยังไง” เสียงตำหนินั้นผมไม่เคยคาดคิดมาก่อน ตอนนั้นผมอายมากจนหน้าแดงก่ำ ผมยังคงจดจำคำสอนนั้นเอาไว้ในใจ “นักแสดงคือบุคคลสาธารณะ”
Credit : baeyongjune.com
English translated by Hyeon / Edited by Fengyi
Thai Translation by Ladymoon
English translated by Hyeon / Edited by Fengyi
Thai Translation by Ladymoon
No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.