26.8.08

BYJ's Story - Episode 3

Episode 3 : I was full of curiosity in my childhood.




I tell you about my childhood. I was born in Baek Hospital in Seoul on August 29th, 1972. At that time I had lived the traditional Korean-style in Yongdu dong near the East Gate in Seoul until fifth-grade in my elementary school.
ผมจะเล่าเรื่องวัยเด็กของผมให้ฟัง ผมเกิดที่โรงพยาบาล Baek ในกรุงโซล เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ปี 1972 (2515) ตอนนั้นผมใช้ชีวิตแบบคนเกาหลีแท้ๆ ใน Yongdu dong ใกล้ๆ กับประตูตะวันออกของกรุงโซลจนกระทั่งขึ้นเกรด 5 ของชั้นประถม

I made the older people very tiredly when I was a child. Although most children have a surprising curiosity in those time, I seemed to be excessive. Beginning to talk, those were my most frequently used words 'what is that?' 'Why?' Whether I had prosperous curiosity such that, every toy did not resist in my hand for a day. Having played only for one or two hours, I was curious about the operation principle of the toy. Next, I took the toys to pieces. The attic was my workroom. Since I entered the attic with a screwdriver and hammer never knowing the method of using, I attempted to lose myself. When I went out of her sight, my mother always opened the door of attic. And there were always same scenes, same words. The toys she generously bought me lay scattered in here and there, I asked to my mom awkwardly "Mom, why does it move to be so?" with holding the driver and hammer.
ตอนเด็กๆ ผมมักทำให้ผู้ใหญ่ต้องเหนื่อยใจ ถึงแม้เด็กส่วนใหญ่จะมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนผมจะมีมากไปหน่อย พอเริ่มพูดได้ คำพูดติดปากของผมก็คือ “นั่นอะไร” “ทำไม” เพราะผมมีความอยากรู้อยากเห็นมากเป็นพิเศษ ของเล่นทุกชิ้นจึงไม่เคยอยู่ในมือผมนานเกิน 1 วัน ผมจะเล่นเพียงแค่ 1 หรือ 2 ชั่วโมง แล้วผมก็จะอยากรู้หลักการทำงานของมัน ต่อมาผมก็จัดการแยกมันเป็นชิ้นๆ ห้องใต้หลังคาคือห้องปฏิบัติการของผม ผมเข้าไปในห้องใต้หลังคาพร้อมไขควงและค้อน โดยที่ไม่รู้วิธีใช้มัน แล้วผมก็จะลืมสิ้นทุกอย่าง เวลาที่ผมไม่อยู่ในสายตาของแม่ แม่จะเปิดประตูห้องใต้หลังคาทิ้งไว้ แล้วก็เป็นเหมือนเดิมทุกที ของเล่นที่แม่ซื้อมาให้กระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ ผมถามแม่ว่า “แม่ฮะ ทำไมมันถึงเคลื่อนที่แบบนั้นล่ะ” โดยมีไขควงกับค้อนอยู่ในมือ

Since I lost interest in disjointing of toy, I began to be interested in assembling and naturally looked away my eyes to set up toys such as tank or airplane. Instead of driver, there were a bond and a assembling drawing newly in my hands. As I was so, I grew up without playing with earth or glass bead differently with most children. Playing alone, I could not help but being introspective. If I had liked to play together, I might not have been excess the curiosity which filled up my infancy.
พอผมหมดความสนใจในการแยกชิ้นส่วนของเล่นแล้ว ผมก็เริ่มเบนความสนใจและหันไปจับจ้องของเล่นที่ยังอยู่ครบชิ้นส่วนอย่างรถถังหรือเครื่องบิน เป็นเพราะผมโตมาโดยไม่ได้เล่นดินหรือเล่นลูกแก้วเหมือนเด็กคนอื่นๆ การต้องเล่นคนเดียว มันจึงช่วยไม่ได้ที่ผมจะเป็นคนช่างคิด ถ้าผมได้เล่นกับเด็กคนอื่นๆ ผมอาจไม่อยากรู้อยากเห็นมากผิดปกติแบบนี้ก็เป็นได้

However, it was natural for me to be happened unexpected doings as I was curious and liked to know by myself. There were some remembered episodes. I had much curiosity and experiment mind when I was six-year-old, especially then I made unexpected troubles.
แต่มันเป็นธรรมชาติของผมที่จะทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะความอยากรู้อยากเห็นของผม และผมอยากรู้ด้วยตัวของผมเอง มีบางเหตุการณ์ที่ผมยังจำได้ดี ผมมีความอยากรู้อยากเห็นมากและชอบทดลองเมื่อตอนที่ผมอายุ 6 ขวบ แล้วผมก็ก่อเรื่องโดยไม่ได้ตั้งใจ

One day, beans were put in the floor. My younger sister was playing in the courtyard. Beans and my younger sister. Suddenly, I was curious how many the beans could be put in her nose. I tempted her. I put a bean nut in her nose. She complained of suffocation. I was worried about her pain than my curiosity. Though I tried to extract it, but it went into inside her nose more and more. Then I heard my parent's voice.
วันหนึ่ง มีเมล็ดถั่วอยู่บนพื้น น้องสาวของผมก็เล่นอยู่ที่ลานบ้าน มีเมล็ดถั่วและน้องสาวของผม ทันใดนั้นผมก็เกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าเมล็ดถั่วจะเข้าไปอยู่ในจมูกของน้องได้สักกี่เม็ด ผมก็เลยหลอกล่อน้อง แล้วก็ยัดเมล็ดถั่วเข้าไปในรูจมูกของน้อง เธอบ่นว่าหายใจไม่ออก ผมเกิดความเป็นห่วงน้องมากกว่าความอยากรู้อยากเห็น ผมจึงพยายามดึงมันออกมา แต่มันเข้าไปในจมูกของน้องลึกเกินไป แล้วผมก็ได้ยินเสียงของพ่อกับแม่

"I will let it go out of your nose tomorrow, please never tell papa or mom about it."
"พรุ่งนี้พี่จะมาเอาออกให้นะ อย่าบอกพ่อกับแม่ล่ะ"

I asked her not to say earnestly and there was no anything until I fell asleep. The big trouble occurred in the next morning. when I waked by my sister's crying and my parent's confused voice, her nose was swollen plumply. Finally, the bean was out of her nose in the hospital. Every time she slanders against me, she has never omitted this story till now
ผมกำชับไม่ให้น้องพูดอะไร และมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งผมหลับไป เกิดความวุ่นวายขึ้นในเช้าวันต่อมา เมื่อผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องไห้ของน้องสาวผม และเสียงโวยวายของพ่อกับแม่ จมูกของน้องบวมเป่ง สุดท้ายเจ้าถั่วเม็ดนั้นก็ได้ออกมาจากจมูกของเธอที่โรงพยาบาล ทุกครั้งที่เธอหาเรื่องมาเล่นงานผม เธอไม่เคยลืมที่จะยกเรื่องนี้มาอ้างทุกครั้งจนถึงเดี๋ยวนี้

I did watch TV hard at that time. By the way, in some dramas, people usually spoke a word "It is a credit" after buying the goods and they went out without any trouble. As I watched it constantly, I thought the words "It is a credit" meant like a treasure chest.
ในตอนนั้นผมชอบดูทีวีมาก ในละครบางเรื่อง มีคนชอบพูดประโยคนี้ "ลงบัญชีไว้ก่อนนะ" หลังจากซื้อของ (ซื้อแบบเงินเชื่อ) แล้วพวกเขาก็เดินออกไปแบบสบายใจ ผมดูฉากนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมคิดว่าประโยคนี้ "ลงบัญชีไว้ก่อนนะ" มีความหมายราวกับหีบสมบัติเลยทีเดียว

There was a small store in front of my house. After picking up my favorite cookies, I exultingly shouted to the master of the store "It is a credit" and came home. Nothing happened until my mom came back from a market. It may be sure that he told my mom about the whole story because of shocking too much. I should understand the lesson with tears if we follow the TV entirely, we could fire on our palm
มีร้านเล็กๆ อยู่หน้าบ้านของผม หลังจากเลือกขนมโปรดของผมได้แล้ว ผมก็ตะโกนบอกเจ้าของร้านว่า "ลงบัญชีไว้ก่อนนะ" แล้วก็กลับบ้านไปหน้าตาเฉย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งแม่ของผมกลับมาจากตลาด เจ้าของร้านคงเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง เพราะเขาคงตกตะลึงไปเหมือนกัน ผมเข้าใจบทเรียนนี้ทั้งน้ำตาว่าถ้าเราทำทุกอย่างตามทีวี ตัวเองอาจตกที่นั่งลำบากได้

I have a shameful criminal memory even if I think now. That time also I was six years old. I said before, I would be absorbed in fabricated toys at that time. There was a toy catching my eyes in a stationery. But, my parents did not buy it for me. One day I passed the stationery, the very toy was exhibited out of the shop. For a moment, I was in discord myself. I came home simply after picking up it. Suddeny some idea was occurred to me in front of my house's gate. 'If I come in like this way, I'll burn my mom's fingers surely'.
ผมยังมีคดีน่าอายที่ติดอยู่ในความทรงจำจนถึงเดี๋ยวนี้อีก คราวนั้นผมก็อายุ 6 ขวบเช่นกัน ผมน่ะหลงใหลพวกของเล่นประดิษฐ์เอามากๆ ผมเจอของเล่นถูกใจชิ้นหนึ่งในร้านขายเครื่องเขียน แต่พ่อกับแม่ไม่ยอมซื้อให้ผม ของเล่นชิ้นนั้นวางเด่นอยู่ตรงหน้าร้าน ชั่วขณะนั้นผมเกิดอาการสองจิตสองใจ ผมตรงกลับบ้านหลังจากแอบไปซื้อมันมาจนได้ แต่แล้วผมก็ฉุกคิดขึ้นได้เมื่ออยู่หน้าประตูบ้าน “ถ้าฉันเข้าไปแบบนี้ ต้องโดนแม่ตีตายแน่ๆ”

Therefore, I should made some scenario. A good idea was occurred to me. First, I left the toy in front of the gate and entered my house. After confirming to mom that I came in with empty hands, as if a visitor came the gate, I went out with saying " Who is it?", then I entered in with picking up it. If she asked me about it, I was trying to explain that I went out and I found a toy someone left.
ดังนั้นผมต้องสร้างเหตุการณ์ขึ้น ผมเกิดความคิดดีๆ ก่อนอื่นผมทิ้งของเล่นไว้ที่หน้าประตูแล้วเข้าไปในบ้าน หลังจากยืนยันให้แม่เห็นแล้วว่าผมเข้าบ้านไปตัวเปล่า แล้วทำเหมือนว่ามีแขกมาที่หน้าบ้าน ผมก็ออกไปแล้วพูดว่า “นั่นใครน่ะ” แล้วจึงเข้าบ้านโดยหยิบของเล่นมาด้วย พอแม่ถาม ผมก็บอกว่าตอนผมออกไป ผมเจอของเล่นนี่ถูกทิ้งไว้หน้าบ้าน

However, she just glared at me with a terrible expression without any words. Her strict voice to shrinking me. "How did you get that?" My first scenario I made difficultly was useless like bubble. After telling the truth , I was whipped.
แต่แม่จ้องหน้าผมด้วยสีหน้าถมึงทึงโดยไม่พูดอะไรสักคำ เสียงเข้มๆ ของแม่ทำให้ผมใจฝ่อ “ลูกไปเอามาจากไหน” ฉากที่อุตส่าห์จัดเตรียมมาอย่างยากลำบากกลับพังครืนเหมือนฟองสบู่แตก หลังจากบอกความจริงไป ผมก็ถูกฟาดน่ะสิ

My mom made honeyed water frequently. It was very tasty. I thought it was sugared water. When my mom wasn't at home, I got into kitchen quietly. I put much and stirred the thing which was similar with sugar into a cup of water. After swallowing spittle, I drank it with a high spirit. But it tasted awful... I vomitted losing control of myself.That is the reason I don't like a synthetic flavoring matter.
แม่ของผมชอบทำน้ำผึ้งเอาไว้ มันอร่อยมากๆ แต่ผมคิดว่ามันคือน้ำตาลเคี่ยว พอแม่ไม่อยู่บ้าน ผมก็แอบย่องเข้าไปในครัว ผมใส่ไอ้เจ้าสิ่งที่หน้าตาคล้ายๆ น้ำตาลลงไปคนกับน้ำ หลังจากกลืนมันเข้าไปเต็มที่แบบไม่มียั้ง รสชาติมันแย่มากๆ ผมอาเจียนออกมาจนหมด นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ชอบพวกกลิ่นสังเคราะห์

After that, whenever I took sugar with any drink, I'm looking at sugar particles or not. Since I grew up, that experience became my lesson 'Be careful with everything'
หลังจากนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมใส่น้ำตาลลงในเครื่องดื่ม ผมต้องดูให้แน่ใจว่ามันใช่น้ำตาลหรือเปล่า พอผมโตขึ้น ประสบการณ์นั้นกลายมาเป็นบทเรียนสำหรับผมว่า “ต้องระมัดระวังในทุกๆ เรื่อง”


Credit : baeyongjune.com
English translated by Hyeon / Edited by Fengyi
Thai Translation by
Ladymoon

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.