Episode 4 : The memories of my childhood and first love.
I was born and grew up in Seoul, but I have ever had an experience of a country in my childhood. It has been my good memory till now. When I was in the 3rd grade at Pung-il elementary school, my dad began to run a ranch after leaving his company.
ผมเกิดและเติบโตในกรุงโซล แต่ผมก็เคยมีประสบการณ์ในชนบทตอนวัยเด็กเหมือนกัน มันเป็นความทรงจำที่ดีจนถึงเดี๋ยวนี้ ตอนนั้นผมอยู่เกรด 3 ที่โรงเรียนประถม Pung-il พ่อของผมเริ่มทำฟาร์มหลังจากที่ท่านลาออกจากบริษัท
At that time, my dad bred pigs and cattle with three laborers. I remember that was run on a pretty large scale. My dad was in Chun-An, my sister and me used to visit there with my mom on weekend or vacation. We looked calves and litters were bred, and ate a sparrow with roasting. Above all, I had fun with gun. My dad taught me how to shoot a air gun, who was quite openhearted at that time.
ตอนนั้นพ่อของผมเลี้ยงหมูและทำปศุสัตว์โดยมีคนงาน 3 คน ผมยังจำได้ว่าเคยวิ่งเล่นไปบนผืนดินอันกว้างใหญ่ พ่อของผมอยู่ที่ Chun-An น้องสาวของผมกับผมเคยแวะไปที่นั่นพร้อมแม่ในช่วงสุดสัปดาห์หรือช่วงปิดเทอม เราได้ดูลูกวัวและลูกสัตว์ตอนคลอด เคยกินนกกระจอกปิ้งด้วย ที่สำคัญก็คือผมได้เล่นปืน พ่อของผมสอนผมยิงปืนลม ซึ่งในตอนนั้นผมกระตือรือร้นเอามากๆ
I was really interested at shooting gun. Since I was seemed to have a quite talent for shooting, my dad once had a plan to bring me up a gunshot player. Everytime I visited my dad's ranch, I have spent all day long in visiting here and there with a gun and shovel though I was a small boy. After finishing firing all shots my dad gave me, my interests moved a shovel. I imagined that a great treasure might be hidden somewhere in our ranch, so I had a thrill and fun with digging up the ground in order to search for a treasure, because I was especially fascinated by & “15 boys drifts on the island“ among the 50-volumes of fairy tale series published by Kemongsa.
ผมสนใจการยิงปืนเอามากๆ ผมคงจะมีแววทางด้านยิงปืน ขนาดที่ครั้งหนึ่งพ่อของผมเคยคิดจะให้ผมเป็นนักกีฬายิงปืน ทุกครั้งที่ผมไปหาพ่อที่ฟาร์ม ผมจะใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการตะลอนไปทั่วโดยมีปืนกับพลั่วอยู่ในมือ ถึงผมจะยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่ก็ตาม หลังจากยิงปืนตามที่พ่อให้มาจนครบหมดแล้ว ความสนใจของผมก็เปลี่ยนไปที่พลั่ว ผมจินตนาการว่ามีขุมสมบัติซ่อนอยู่ตรงไหนสักแห่งในฟาร์มของเรา ผมจึงตื่นเต้นสนุกสนานอยู่กับการขุดดินเพื่อค้นหาสมบัติ เพราะผมน่ะหลงใหลเป็นพิเศษกับ “15 boys drifts on the island“ ในชุดเทพนิยายร่วม 50 เรื่องที่ตีพิมพ์โดย Kemongsa
My happy life in the ranch should end in a short time. I had no confidential facts, my dad failed in the running of the ranch. Maybe he had much trouble that time. Finally, we had to move to Myungil-dong after selling our house in Yongdoo-dong I thought it was only one in the world. Naturally, I transferred to Myung-il elementary school and in addition I would be more shrunk 'cause of my introspective nature.
ชีวิตแสนสุขในฟาร์มของผมจบลงในเวลาอันสั้น ผมไม่รู้รายละเอียด เรื่องที่พ่อทำฟาร์มล้มเหลว บางทีตอนนั้นท่านอาจมีปัญหามากมาย ในที่สุดพวกเราต้องย้ายไปที่ Myungil-dong หลังจากขายบ้านที่ Yongdoo-dong ไป ซึ่งผมเคยคิดว่ามันเป็นที่เดียวในโลกนี้ ผมต้องย้ายไปเรียนที่โรงเรียนประถม Myung-il และผมก็ยิ่งไม่พูดไม่จากับใครเพราะนิสัยชอบเก็บตัวของผมนั่นเอง
According to my dad's opinion "Man should be strong", I had begun to learn Tae-kwon-do & Ju-do since 6 years old. I could wear a high belt in Tae-kwon-do when I was in the 2nd grade at elementary school. It was never my own will to go to training center for Tae-kwon-do at that time. It would be my taste to read books in the room more than to exercise at the training center.
เพราะพ่อของผมเห็นว่า “ลูกผู้ชายต้องแข็งแกร่ง” ผมเลยเริ่มเรียนเทควันโด้และยูโดตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ผมได้สายสูงสุดของเทควันโด้ตอนอยู่เกรด 2 ชั้นประถม การไปฝึกเทควันโด้ในเวลานั้นไม่ใช่ความต้องการของผมเลย ผมอยากอ่านหนังสืออยู่ในห้องมากกว่าไปซ้อมเทควันโด้ที่ศูนย์ฝึก
Though I began to exercise at an early age, but my introspective nature hasn't changed. After transferring to the Myung-il elementary school, I really felt actually that they lorded it over a newcomer. After a few days since I transferred, a girl spoke to me. I had a good time with her. But, after finishing the class, three boys in my class called me to have something to do.
ถึงผมจะเริ่มออกกำลังกายตั้งแต่อายุน้อยๆ แต่นิสัยเก็บตัวของผมไม่เคยเปลี่ยน หลังจากย้ายไปที่โรงเรียนประถม Myung-il ผมรู้สึกว่าพวกเขาจ้องจะหาเรื่องกับเด็กใหม่ หลังจากผมย้ายไปไม่กี่วัน มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาคุยกับผม ผมก็คุยกับเธออย่างมีความสุข แต่หลังเลิกเรียน มีเด็กผู้ชาย 3 คนในชั้นเดียวกับผมมาเรียกผมออกไปคุยด้วย
I guessed one of them had a good feeling with the girl who spoke to me. I sensed that it wasn't the matter to fall simply. I thought that I could not encounter one-sidedly since I had the high belt in Tae-Kwon-do worthy of the name. I kicked a neck of one boy who walked up to me with clenching his fists. Though he tumbled, but it brought to their anger instead. Beating from them. That was a kind of moving-in notification ceremony.
ผมเดาว่าหนึ่งในนั้นคงแอบชอบสาวคนที่มาคุยกับผม ผมรู้สึกว่านั่นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย ผมคิดว่าผมไม่น่าจะถูกเล่นงานข้างเดียว เพราะผมมีสายสูงสุดจากเทควันโด้เป็นทุนอยู่แล้ว ผมเตะเข้าที่ก้านคอของหมอนั่นที่เดินกำหมัดเข้ามาหาผม เขาล้มลงไปก็จริง แต่มันทำให้เขากับพรรคพวกยิ่งโกรธ การถูกรุมอัดคงเป็นพิธีรับน้องใหม่
I got into Bae-jae middle school after graduating the elementary school as still new comer. My greatest concern was the study in a middle school days. But I did not study for any goal. That was a kind of game. I felt the numerous questions in exam books were like the fabricated toys I was absorbed in my childhood.
ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมต้น Bae-jae หลังจบชั้นประถม และยังคงเป็นเด็กใหม่อยู่ดี ตอนอยู่ชั้นมัธยมต้นสิ่งที่ผมใส่ใจที่สุดก็คือการเรียน แต่ผมไม่ได้เรียนโดยมีเป้าหมาย มันเป็นเหมือนเกมส์ ผมรู้สึกว่าคำถามมากมายในหนังสือเรียน ก็เหมือนกับของเล่นประดิษฐ์ที่ผมเคยหมกมุ่นสมัยเด็กๆ
I wrestled with the exam books in the spirit as I did paint a bond in the attic without knowing sunset. I stayed all night several times solving the problem which didn't solve. That time I was recognized nicely about study as my teacher put his clothes over sleeping me during a class.
ผมปลุกปล้ำอยู่กับหนังสือเรียน แบบเดียวกับเวลาที่ผมหมกตัวอยู่ในห้องใต้หลังคาโดยไม่รู้เดือนรู้ตะวัน หลายครั้งที่ผมไม่ได้นอนทั้งคืนเพื่อแก้ไขปัญหาที่ยังแก้ไม่สำเร็จ ผมยังจำได้ดีที่ครูเคยเอาเสื้อห่มให้ผมซึ่งแอบงีบหลับกลางชั้นเรียน
When I was in the 3rd-grade in my middle school, I lost the interests in study since I fell in one-side love for the first time. She has a long hair. I didn't know her full name as lyrics of a song. The first time I saw her, she wore deep blue sportswear in my memory. We went to same reading room (a sort of library) in the neighborhood. Because of my introspective & bashful personality, I only looked at her in the distance. Her image kept flitting around my mind instead of words of a text book in school and my eyes always followed her radius in the reading room.
พอผมขึ้นเกรด 3 ชั้นมัธยมต้น ผมก็หมดความสนใจในการเรียน เพราะผมเกิดอาการรักข้างเดียวเป็นครั้งแรก เธอมีผมยาวสลวย ผมไม่รู้ชื่อเต็มๆ ของเธอที่ไพเราะราวกับท่วงทำนองเพลง ครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมยังจำได้ดีว่าเธอสวมชุดกีฬาสีน้ำเงินเข้ม เราไปที่ห้องสมุดเดียวกันแถวๆ บ้าน แต่เพราะผมเป็นคนเก็บตัวแล้วก็ขี้อาย ผมได้แต่มองเธออยู่ห่างๆ เท่านั้น ภาพของเธอวนเวียนอยู่ในหัวของผมแทนที่จะเป็นบทเรียนในหนังสือ สายตาของผมมองตามเธอไปทุกแห่งในห้องสมุดแห่งนั้น
Although I always planed to do "Tomorrow I will..." on my way, but I should regret I still hung around her even though tomorrow came. While I wrote a love letter alone, the monster 'Fancy' which has been familiar with me from my childhood, appeared bit by bit and made her the actress of movie. One-side love for some months. She disappeared. She did not come to the reading room any more which was the only root I could meet her. Then I was troubled enough with my own feeling of incompetence, I came to realize 'Study is not the whole of my life. I should be strong and manliness'.
ถึงผมจะตั้งใจไว้อย่างดิบดีว่า "พรุ่งนี้ฉันจะทักเธอ" แต่แล้วผมก็ต้องนึกเสียใจที่มัวแต่รีรอถึงแม้พรุ่งนี้จะมาถึงแล้วก็ตาม ระหว่างที่ผมพยายามเขียนจดหมายรักอยู่คนเดียว เจ้าปีศาจร้ายที่คุ้นเคยกับผมดีตั้งแต่สมัยเด็กๆ ก็จะปรากฏตัวออกมา แปลงให้เธอกลายเป็นนางเอกในหนัง ผมแอบรักข้างเดียวอยู่แบบนี้หลายเดือน แล้วเธอก็หายตัวไป เธอไม่มาที่ห้องสมุดนั้นอีก ซึ่งมันเป็นที่เดียวที่ผมจะได้พบกับเธอ แล้วผมก็ได้แต่นึกคับแค้นใจกับความไร้น้ำยาของตัวเอง ผมเริ่มคิดได้ว่า “การเรียนไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ฉันต้องเข้มแข็งและเป็นผู้ชายให้มากกว่านี้”
While my first love passed like a fever, I already went into Han-young high school. I tried to make my introspective nature to extrovert like 'Hypocrisy' consciously. I enjoyed soccer with friends than read books and began to exercise in my friend's house which run a hap-ki-do training center just in time. It differed from the Tae-kwon-do I learned from my father's forcible demand. To exercise with friends & to travel in vacation and so on.
ขณะที่รักแรกของผมผ่านไปเหมือนอาการไข้ ผมก็เริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายที่ Han-young ผมพยายามเลิกเก็บตัว หันมาทำตัวเปิดเผย เหมือนกำลังหลอกตัวเองอยู่ ผมสนุกกับการเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ มากกว่าการอ่านหนังสือ และเริ่มไปออกกำลังกายที่บ้านเพื่อนซึ่งเป็นศูนย์ฝึกฮัพกิโด้ มันแตกต่างจากเทควันโด้ที่พ่อเคยบังคับให้ผมเรียน ผมไปออกกำลังกายกับเพื่อนๆ เดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุด และอะไรอีกมากมาย
It was my schooldays that they could assume me as a trouble maker in older's sight. Although some people fixed their eyes on me with anxiety, but I thought that I acted on the basic and direction of my own way during 3 years in high school. I thought it was not only way that we walked 'Good way' which older people showed according to their experience and there is no change in such thinking till now.
ช่วงวัยเรียนตอนนั้นเองที่ผมกลายเป็นตัวสร้างปัญหาในสายตาของผู้ใหญ่ แม้บางคนจะคอยจับตา มองผมด้วยความกังวล แต่ผมคิดว่าผมทำตัวตามทิศทางของผมเองตลอด 3 ปีในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนั้น ผมคิดว่ามันอาจไม่ใช่ “หนทางที่ถูกต้อง” อย่างที่พวกผู้ใหญ่ตัดสินจากประสบการณ์ของพวกเขา แต่จนถึงตอนนี้ความคิดแบบนั้นของผมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
It began to live with the ideas 'I decide and take the responsibility by myself' since the short stray of my adolescence. Nowadays, I would be often surprised at myself because I confirmed that my sense of values came to resemble those of older generation which taught me a mode of life.
ผมเริ่มใช้ชีวิตด้วยความคิดที่ว่า “ฉันจะตัดสินใจและรับผิดชอบชีวิตของฉันเอง” นับตั้งแต่ผมเริ่มหลงทางในวัยหนุ่ม พอมาถึงวันนี้ผมยังแปลกใจอยู่บ่อยๆ เพราะความรู้สึกของผมกลับคล้ายคลึงกับที่พวกผู้ใหญ่เคยสอนผมว่า นี่คือรูปแบบในการดำเนินชีวิต
Because of such experiences, I want to talk very much with teenagers. That was why I planed most members would not be co-actors, but teenagers when I thought about making an amateur baseball club since I was fascinated by Chan-Ho Park, the star in USA Major Leagues. Although it has been delayed due to bandage the plaster cast in my foot, but as soon as I get well, I'll go on with an amateur baseball club again.
เพราะผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมา ผมจึงอยากพูดคุยกับเด็กๆ วัยรุ่น นั่นคือเหตุผลที่ผมนึกถึงบรรดาวัยรุ่น ไม่ใช่เพื่อนดารา เมื่อผมคิดจะตั้งสโมสรเบสบอลสมัครเล่นขึ้นมา เพราะความชื่นชอบ Chan-Ho Park ดาราของเมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา ถึงแม้โครงการนี้อาจจะล่าช้าออกไปเพราะเฝือกที่อยู่บนขาของผม แต่ทันทีที่ผมหายดี ผมจะดำเนินการเรื่องตั้งสโมสรเบสบอลนี่อีกครั้ง
Credit : baeyongjune.com
English translated by Hyeon / Edited by Fengyi
Thai Translation by Ladymoon
English translated by Hyeon / Edited by Fengyi
Thai Translation by Ladymoon
No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.