26.8.08

BYJ's Story - Episode 5

Episode 5 : My friend, Kwon Oh-Jung



When I applied a university at first, I chose the department of Architecture in Hanyang Univ. But, I failed because I wasted too much time. As such, I just loaded around all day in Gnagwon-do, selling mung-bean pancakes. After wandering a couple of months, I entered the Jinwi Temple, located in middle of Ohsan and Pyeongtack, in order to study.
ตอนที่ผมสมัครสอบมหาวิทยาลัยครั้งแรก ผมเลือกคณะสถาปัตยกรรมของมหาวิทยาลัย Hanyang แต่ก็สอบตกเพราะผมเสียเวลามากเกินไป ผมมัวแต่ไปอยู่แถว Gnagwon-do ทั้งวัน เพื่อขายขนม mung-bean pancake หลังจากล่องลอยอยู่ 2 เดือน ผมก็เข้าไปที่วัด Jinwi ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่าง Ohsan กับ Pyeongtack เพื่ออ่านหนังสือ

I tried to study hard, reminding what I used to study in my middle school-days. At that time, I met a senior, preparing the judicial examination; he helped me out to study. Then I applied a law department. But, I flunked in that examination again. So I made my mind that way was not mine. I should find another way.
ผมพยายามศึกษาตำราอย่างหนัก นึกถึงสิ่งที่เคยเรียนมาตอนชั้นมัธยม ตอนนั้นเองที่ผมได้เจอกับรุ่นพี่คนหนึ่ง กำลังเตรียมสอบผู้พิพากษา เขาช่วยผมในการศึกษาตำรา แล้วผมก็สมัครสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ แต่แล้วผมก็ล้มเหลวในการสอบอีกครั้ง ผมจึงตัดสินใจว่านี่คงไม่ใช่เส้นทางของผม ผมควรหาทางอื่นจะดีกว่า

I used to be heard, 'why don't you be an actor?' I, at that time, thought it was my destiny. When I decided to be an actor, my mother kept me back from being an actor but my father supported me, saying 'your life is on you, you must assume the responsibility. What was popped into my head was a movie. First of all, I thought I needed to know what was going on the cinema quarters at that time.
ผมเคยได้ยินคนพูดว่า 'ทำไมไม่ไปเป็นนักแสดงล่ะ' ตอนนั้นผมคิดว่านี่แหละชะตาชีวิตของผม ตอนที่ผมตัดสินใจไปเป็นนักแสดง แม่ของผมคัดค้าน แต่พ่อสนับสนุน ท่านบอกว่า 'ชีวิตมันเป็นของลูก ลูกต้องรับผิดชอบเอาเอง’ สิ่งที่ผุดขึ้นในหัวของผมก็คือหนัง ตอนนั้นผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในการทำหนังสักเรื่อง

To accumulate my experiences, I entered a joint movie company. After that I did all sorts of jobs, including planning, directing and producing departments. In those days, I participated in , starred by Son Chang-Min and Shim Hye-Jin. But my ultimate goal was an actor, so I decided to quit the job in order to being an actor.
เพื่อเป็นการสะสมประสบการณ์ ผมจึงเข้าทำงานในบริษัทภาพยนตร์ หลังจากนั้นผมก็ทำสารพัด ทั้งในฝ่ายวางแผน กำกับ และผลิต แต่เป้าหมายสูงสุดของผมก็คือการเป็นนักแสดง ผมเลยตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาเป็นนักแสดง

And then I joined a Management Y, but it didn't last a long time. I heard someone whom I used to know when I was wandering is going to open a performer training school at CineHouse 8th floor, Shinsa-dong, Gangnam-gu. Because of those persons' help, I could attend a training school, even I paid about one millions won. There was another 'free-charged trainee' he is Kwon Oh-Jung, playing as cartoonist at the MBCTV weekend soap opera, "Yesterday"
แล้วผมก็เข้าร่วมงานกับ Management Y แต่ก็ทำได้ไม่นานนัก ผมได้ยินว่ามีบางคนที่ผมเคยรู้จัก ไปเปิดโรงเรียนสอนการแสดงอยู่ที่ ชั้น 8 CineHouse, Shinsa-dong, Gangnam-gu เพราะได้คนเหล่านั้นช่วยเหลือ ผมจึงได้เข้าโรงเรียนการแสดง แม้ต้องจ่ายไปถึง 1 ล้านวอนก็ตาม ยังมีอีกคนที่ “เรียนฟรี” เขาก็คือ Kwon Oh-Jung ซึ่งเล่นเป็นนักวาดการ์ตูนในละครสุดสัปดาห์ของ MBCTV "Yesterday"

Although the school didn't go a long time, a practice room was still empty so I and Kwon used to go to the performance school about two months. Kwon was good at Kung fu, so we practiced the martial arts as well as evaluated our impromptu performance. We also used to videotape our performance and analyzed it. As such, I am still on friendly terms with him indeed. In those days, my favorite motto was 'Be a person like a convenient store', I was trying to ready to respond with no matter what a director needs to.
ถึงแม้โรงเรียนจะอยู่ได้ไม่นานนัก ห้องซ้อมก็มักจะว่าง ผมกับ Kwon ไปที่โรงเรียนการแสดงประมาณ 2 เดือน Kwon เก่งกังฟู เราเลยซ้อมศิลปะการต่อสู้กัน เช่นเดียวกับการประเมินฝีมือการแสดงของพวกเรา เรายังเคยอัดเทปการแสดงของเราเอาไว้แล้วมาวิเคราะห์กัน ที่จริงผมยังคงคบหาสมาคมกับเขาดีอยู่ ในตอนนั้นภาษิตประจำใจของผมก็คือ 'จงทำตัวให้เหมือนร้านสะดวกซื้อ' ผมพยายามเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อตอบสนองไม่ว่าผู้กำกับจะต้องการอะไร

Let me take about my friend, Kown Oh-Jung. He is the only one whom I can use abusive language without affectation. Namely, even we are always trying to get into an altercation but we can part good friends in the last.
ขอผมคุยถึงเพื่อนคนนี้หน่อย Kwon Oh-Jung เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ผมสามารถใช้ภาษาแบบเป็นกันเองได้โดยไม่ต้องกระดากปาก กล่าวคือถึงเราจะชอบโต้คารมกัน แต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

When a night filming is finished, I often call Kwon's house. When the bell rings over dozen times, I'm getting excited. How is he trying not to pick up the phone? OK. Try it. I got plenty of times. Finally, when I can hear his voice, I'm saying, "You're sleeping? Yes, you are, I just got off a filming. OK, good night." and he often do the same way I do. His weakness is a car. He is still driving an Elantra, and he, if circumstance permitting, is trying to buy a new one.
เวลาที่ผมถ่ายละครเสร็จดึกๆ ผมมักโทรไปที่บ้านของ Kwon เวลาที่เสียงโทรศัพท์เรียกดังอยู่เป็นสิบๆ ครั้ง ผมจะรู้สึกตื่นเต้น เขาพยายามจะไม่รับสายใช่มั้ย ได้เลย งั้นมาลองดูกัน ผมก็โทรแล้วโทรอีกอยู่นั่น สุดท้ายเมื่อผมได้ยินเสียงของเขา ผมก็พูดว่า "นายหลับอยู่หรือ ใช่สินะ ฉันก็เพิ่งถ่ายเสร็จ โอเค งั้นราตรีสวัสดิ์นะ" และเขาก็ชอบทำแบบเดียวกับผมนั่นแหละ จุดอ่อนของเขาอยู่ที่รถยนต์ เขายังคงขับเจ้า Elantra และถ้าสถานการณ์เอื้ออำนวย เขาก็พยายามที่จะเปลี่ยนรถใหม่

"Hey man, you can get a Sonata at 9.1 millions won"
"เฮ้ นายซื้อ Sonata ได้ในราคา 9.1 ล้านวอนนะ"
"Are you sure?"
"นายแน่ใจเหรอ"
"Of course, but you got a tiny option."
"แน่นอน แต่ไม่มีออฟชั่นอะไรนะ"
"What's that?"
"มันคืออะไรล่ะ"
"Not that important, it's only for a taxi"
"ไม่สำคัญหรอกน่า ก็แค่ขับพาเราไปไหนมาไหนได้เท่านั้น"

I knew that the friendship between men can be warm-heartedly through Kwon. From my point of view, Kwon has an all-around capability. He is very good at sports, including Fung fu, and dancing, moreover ridiculously he is also good at writing. Especially, when he chants an impromptu poem, gently closing his big bright eyes, Ifeel a chill to my marrow of my bones.
ผมได้รู้ว่ามิตรภาพระหว่างผู้ชายก็สามารถให้ความอบอุ่นใจได้เช่นเดียวกันจาก Kwon นี่เอง ในสายตาของผม Kwon เป็นคนมีความสามารถรอบตัว เขาเก่งกีฬา รวมทั้งกังฟูและเต้นรำด้วย ที่น่าขันกว่านั้นก็คือเขายังเก่งเรื่องขีดๆ เขียนๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เขาด้นกลอนสด พร้อมปิดท้ายด้วยดวงตาอันสดใสของเขา ผมรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูกเลยทีเดียว


The gooseflesh herein is kind of complex, first of all, it means 'unmatchable' and it is also due to the lyric and beautiful poem. He is famous for his writing, so he participated in the scenario work of 'The Young Man', directed by Bae Chang-Ho. At a likely time, our debut on a screen was . , it is deeply moved by me.
อาการขนลุกซู่นี้เกิดจากความรู้สึกว่า “ไม่อาจเทียบเทียมได้” รวมไปถึงท่วงทำนองของบทกลอนอันไพเราะ เขาเด่นดังเรื่องฝีมือการเขียน เขาจึงเข้าร่วมทีมเขียนบทเรื่อง 'The Young Man' ที่กำกับโดย Bae Chang-Ho มันทำให้ผมประทับใจอย่างยิ่ง

At that time, I was trying to learn anything and everything so as to be a qualified actor. When Isaw the audition notification of , I thought I wasn't ready but made up my mind with 'let's do it first!' On the audition day, I parked my Elantra at a roadside parking lot in fort of KBS, and then I moved to the audition place.
ในเวลานั้นผมพยายามเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อจะเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ ตอนที่ผมเห็นประกาศออดิชั่น (การทดสอบบทเพื่อคัดเลือกนักแสดง) ผมคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม แต่ก็ตัดสินใจว่า “ลองดูก่อนแล้วกัน” ในวันออดิชั่น ผมจอดเจ้า Elantra ของผมไว้ในที่จอดรถริมถนนของ KBS แล้วก็ไปยังสถานที่จัดออดิชั่น

After the audition for 8 hours, when PD Jeon Gi-Sang told me that I made it, I was too impressed to be surprised. I was the last successful candidate.PD Jeon gave me a rough map, saying 'tonight, we're going to have a rally to strengthen a unity in Gangwon-do Donenae somewhere, so be concentrated at the Log cabin.'I moved to get my car with a state of apathy, the parking rates was totally 28 thousands won. On my way home, I shouted for joy in my car.
หลังจากออดิชั่นนาน 8 ชั่วโมง เมื่อผู้กำกับ Jeon Gi-Sang บอกว่าผมผ่านแล้ว ผมประหลาดใจจนอึ้งไปเลย ผมเป็นผู้สมัครคนสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือก ผู้กำกับบอกผมแค่ว่า “คืนนี้เราจะมีงานเลี้ยงเพื่อกระชับความสัมพันธ์กันที่ Gangwon-do Donenae นายต้องหา Log cabin ให้เจอล่ะ” ผมเดินไปเอารถแบบมึนๆ ค่าจอดรถรวมๆ แล้วก็ 28,000 วอน ระหว่างทางกลับบ้าน ผมโห่ร้องด้วยความยินดีอยู่ในรถ

I used to stay up all night without making money; my mother was always irritated against that. When I entered home, I said, "Mother, I became an actor." my mother said, "It's really great!" "I'm the hero" then my mother shouted for joy too. I moved to Dunnae with a couple of clothes. Because I often moved around all over Gangwon-do, selling mung-bean pancakes, when I was preparing myself for the college entrance exams for the next chance, I could easily find the Log cabin. PD Jeon was surprised of my early appearance.
ผมเคยอดหลับอดนอนทั้งคืนโดยไม่ได้เงินสักเก๊ แม่ของผมโกรธทุกที พอผมเข้าบ้าน ผมบอกแม่ว่า “แม่ครับ ผมจะได้เป็นนักแสดงแล้ว” แม่บอกว่า “ก็ดีนี่จ๊ะ” “ผมได้เป็นพระเอกด้วยนะครับ” ทีนี้แม่ก็โห่ร้องด้วยอีกคน ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปร่วมงานเลี้ยง เพราะผมมักวนเวียนอยู่แถว Gangwon-do เพื่อขาย mung-bean pancake ตอนที่ผมเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมจึงหา Log cabin เจออย่างง่ายดาย ผู้กำกับ Jeon แปลกใจมากที่เห็นผมมาถึงเร็วเกินคาด

When I got there, a drinking party was already held; they asked me a song without allowing for taking breath. No sooner had finished my song than everybody laughed. 'Please come back to Busan port ' is too ridiculous to sing to a 22 years-old young man like me.
ตอนที่ผมไปถึงงานเลี้ยงเริ่มไปบ้างแล้ว พวกเขาให้ผมร้องเพลงโดยไม่ให้ผมหยุดพักหายใจเลย พอผมร้องเพลงจบ ทุกคนก็เอาแต่หัวเราะ 'Please come back to Busan port ' คงเป็นเพลงที่น่าขันเกินไปที่จะได้ยินจากปากเด็กหนุ่มอายุ 22 อย่างผม



Credit : baeyongjune.com
English translated by Hyeon / Edited by Fengyi
Thai Translation by Ladymoon

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.