โอม ศรีคเณศายะนมัย
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมบูชาพระคเณศผู้มีชัยตลอดกาล
โอม ศรี คเณ ศายะ นะมะฮา
ข้าพเจ้าขอถวายสักการะแด่พระศรีเคเณศผู้มีชัยอยู่เหนือกาลเวลา
ความรักและการศรัทธาต่อเทพเจ้าเป็นสิ่งที่งดงามที่สุด มีดอกไม้เป็นอาหารและอยู่ท่ามกลางดอกไม้ ความรักต่อเทพเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะสิ่งที่ความรักให้แก่มนุษย์คือ ความดี ความงาม ให้เกิดสันติสุข และความร่มเย็นในชีวิตทุกชีวิต
IF you have time to pray, God has time to listen.
พระคเณศ ทรงเป็นมหาเทพ ที่ปัดเป่าอุปสรรคขจัดปัญหา ในเวลาบวงสรวงเทพจะต้องบูชาพระคเณศก่อนเป็นสิ่งแรก ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งปัญญาและการเรียนรู้ และทรงรจนาพระคัมภีร์มหาภารตะ พระองค์ทรงโดย ใช้งา รจนาเองแทนปากกา
โดย ธนเดช ธนเดชสวัดิ์
กวีใดตั้งจิต ประพนธ์
เคารพคเณศร ก่อนแล้ว
อาจแต่งดั่งกมล มุ่งมาตร์
จิตสว่างดังแก้ว ก่องตา
พระราชนิพนธ์ ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6.
นบวิฆเนศมหิบาล ผู้เป็นครูการย์
ให้เกิดสวัสดิมงคล
คำบูชาเทวดา ของเก่า
การไหว้พระคเณศก่อนเรียนและเขียนหนังสือ
กล่าวกันว่าพระคเณศเป็นผู้เขียน คัมภีร์ภารตะ จากวาจาของ ฤษี ยวาส ซึ่งเป็นต้นตำรับวรรณคดี
เรื่องกล่าวว่า เมื่อ ฤาษีวาลมิกิ ผู้แต่งคัมภีร์ รามายณะ ไปพบ ฤษี ยวาส ผู้แต่งคัมภีร์มหาภารตะ ฤาษีวาลมิกิ ถาม ฤษียวาส ว่าแต่งคัมภีร์มหาภารตะเสร็จแล้วหรือยัง ฤษียวาส ก็ตอบว่าเสร็จแล้วเพราะพระคเณศช่วย คัมภีร์เล่มนี้ใหญ่มากไม่มีใครเขียนตามที่ฤษียวาสบอกได้ จึงไปขอร้องพระคเณศ พระคเณศ มีข้อแม้ว่า ฤษียวาส ต้องบอกเรื่อยไปหยุดพักไม่ได้ แสดงว่าพระคเณศ เขียนหนังสือได้เร็วมาก ฤษีแย้งว่าถ้าพระคเณศ ไม่เข้าใจความหมายคำใดไม่ให้เขียนลงไปต้องเข้าใจให้ดีเสียก่อน(เพราะฤษีจะได้มีเวลาหยุดพักบ้าง) โดยแต่งข้อความบางตอนที่ลึกซึ้งยากแก่การตีความ พระคเณศแม้จะมีปัญญาก็ต้องยังหยุดคิด เวลาที่พระคเณศหยุดคิดก็เป็นเวลาที่ ฤษี ยวาส ได้มีเวลาตรึกตรอง นับว่าฉลาดแบบปราชญ์ ความฉลาดคล่องแคล่วในวิชาหนังสือของพระคเณศเช่นนี้ จึงถือกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการแต่งหนังสือมาจนทุกวันนี้
ตามคติของพวกทมิฬทางอินเดีย ทางอินเดียภาคใต้ถือว่าพระคเณศเป็นเทพประจำหมู่บ้านและเทพประจำเรือน มักมีรูปพระคเณศทั่วไปเกือบทุกหนทุกแห่งเขานับถือกันอย่างเคร่งครัด ก่อนนอนก็ต้องบูชา ตื่นนอนก็ต้องบูชา
โดย ส. พลายน้อย
ที่ตัดต่อ ความที่กล่าวถึงมานี้ เพื่อ เชื่อมต่อ มหากาพย์ 2 เรื่อง คือ มหากาพย์รามายณะ และมหากาพย์ มหาภารตะ ที่ ท่าน ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา เอ่ยถึงไว้ ซึ่งเราคนไทย ค่อนข้างจะรู้จักกันดี แต่ คัมภีร์ต่างๆ ที่มีมากมายหลายคัมภีร์ ช่างยากที่จะเข้าใจเสียจริงๆ
ดิฉัน ยกย่อง ชื่นชม ท่านมาก นิยาย เรื่องสั้น ทั้ง 100 เรื่อง เปรียบเสมือน อัญมณี ที่ล้ำค่า ของวงวรรณกรรม เคยอ่านมาเมื่อเกือบสิบปีแล้ว ท่านเคยเขียนอธิบายว่า นิยายเหล่านั้นเป็นเค้า โครงเรื่อง จาก แหล่งที่มาต่างๆทั้งจากคัมภีร์ ต่างๆ และมหากาพย์ข้างต้น ท่าน แปลและประพันธ์ด้วย ถ้อยคำ สำนวน ที่สละสลวยงดงาม จากการเขียน ร้อยแก้ว ก็ไพเราะ เหมือนดัง ร้อยกรอง เช่นเรื่อง พระมนู และอื่นๆเป็นต้น ดิฉันได้คัดลอก เรื่อง อากาศคงคา ตามต้นฉบับเดิมของท่าน มาเผยแพร่ ณ ที่ นี้ ด้วย จิตเจตนา เพื่อเป็นการเชิดชู เกียรติคุณ ของท่าน ศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา ที่ดิฉัน เคารพ ยกย่อง นับถือ และชื่นชม ท่าน มาเนิ่นนาน โดยได้จุดธูปอธิษฐาน เป็นการเรียนขออนุญาตต่อท่าน
ยังมีเรื่อง คงคาสวรรค์ ที่ท่านเคยเมตตา กรุณาอนุญาตให้นำบทประพันธ์หลายเรื่องของท่าน มาจัดพิมพ์ในหนังสือ ที่ระลึกงานฌาปนกิจศพ คุณยาย ของดิฉัน เมื่อ ปี พ.ศ. 2528 ซึ่งท่านได้ให้ข้อคิด หลายข้อ เกี่ยวกับ พระคงคา ไว้ เลยต้องขออนุญาตคัดลอกมาอีกครั้ง ในเรื่อง คงคาสวรรค์ ซึ่ง เป็นเนื้อเรื่องของอากาศคงคา นั่นเอง
คงคาสวรรค์
ในราตรีข้างแรมที่ฟ้ามืดสนิท บางครั้งจะแลเห็นทางสายขาวๆ ทอดผ่านไปในอากาศอันเวิ้งว้าง คนโบราณเรียกทางสีขาวในท้องฟ้านั้นว่า ทางช้างเผือก ซึ่งจะเป็นอะไรก็ตามแต่ ในทัศนะของคนหลายร้อยล้านคน ที่นับถือศาสนาพราหมณ์ เชื่อกันว่านั่นคือ อากาศคงคา หรือแม่น้ำคงคาในสวรรค์
ใคร ๆ ก็รู้ว่า แม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำสายหนึ่งในโลกมนุษย์ มีความยาว 1,600 ไมล์เศษ ไหลจากทิวเขาหิมาลัย ผ่านท้องที่ราบกว้างใหญ่ตอนเหนือของอินเดียมาออกทะเลทางทิศตะวันออกที่อ่าวเบงกอล แม่น้ำคงคาในทางภูมิศาสตร์ ไม่มีอะไรผิดแปลกไปกว่าแม่น้ำสายอื่นๆ ในขนาดเดียวกัน คือเป็นประโยชน์ ในทางคมนาคมและบำรุงหล่อเลี้ยงสาลีเกษตรให้อุดมสมบูรณ์ แต่ในทางจิตใจของคนอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวฮินดู แม่น้ำคงคาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและวิญญาณของเขาทีเดียว แม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำที่ชาวฮินดูเทิดทูนบูชาว่า เป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะไหลมาจากสรวงสวรรค์ เป็นแม่น้ำที่ชำระบาปให้หมดสิ้นไป ถ้า อสุภและอังคารธาตุได้ลอยลงในแม่น้ำนี้ ผู้ตายจักได้ไปสวรรค์
เหตุใดแม่น้ำคงคาจึงได้ชื่อว่าเป็น แม่น้ำในสวรรค์
และ
เหตุใดจึงเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ถือว่าชำระบาปได้
ถ้าจะเอาเหตุและผลและความจริงเข้ามาจับก็จะเห็นว่าเหลวไหล ไม่มีความจริง แต่ในด้านของจิตใจ เหตุผลและความจริง ก็ไม่เป็นสิ่งสำคัญเสมอไป ที่สำคัญที่สุด คือศรัทธาและความเชื่อ นั่นต่างหาก ความศรัทธาหรือความเชื่อนี้ได้ฝังลงในจิตใจของชาวฮินดูอย่างลึกซึ้งมาแล้วนับพันๆปี ฉะนั้น ไม่จำเป็นจะต้องคิดค้นหาเหตุผล หรือข้อเท็จจริงอันใดมาทักท้วงศรัทธาอันนั้นให้เสื่อมสูญไป ในเมื่อถึงอย่างไร ศรัทธานั้นก็เป็นความหวังอย่างเดียวที่หล่อเลี้ยงจิตใจคนให้มีความสุขตลอดระยะเวลาที่ต้องทนทุกข์ และผจญกับความวุ่นวายของโลกนี้
ศาสนาพราหมณ์แต่ดึกดำบรรพ์ได้สร้างบรรดาเทพเจ้า และได้ให้ความหวังอันงดงามแก่มนุษย์ในการที่จะได้พึ่งพาเทพเจ้าเหล่านั้น แม่นำคงคาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกยกย่องว่าเป็นเทพเจ้า และมีประวัติอันพิสดารมากมาย บางตอนก็อ้างอิงใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด จนกระทั่งถ้าไม่คำนึงถึงเหตุผลแล้ว เรื่องของแม่น้ำคงคาก็น่าจะเป็นเรื่องที่สมบูรณ์ ที่สุดเรื่องหนึ่ง ที่เป็นผลสัมฤทธิ์จากความฝันอันบรรเจิดของพราหมณ์ผู้สอนศาสนาแต่โบราณ
พระคงคาเทพธิดาแห่งสายน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นธิดาองค์โตของท้าว หิมวัต เจ้าแห่งขุนเขาหิมาลัย และพระนางเมนา เป็นพระพี่นางของพระอุมาหรือบรรพตี มเหสีของพระศิวะ ผู้เป็นพระเจ้าอันสูงสุด ว่าโดยชาติกำเนิดของพระคงคาก็นับว่าบริสุทธิ์อย่างยิ่งเพราะเป็นชาวสวรรค์ และถ้าจะคิดว่าแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำธรรมดา ก็ยังเห็นว่าบริสุทธิ์ อยู่ดี เพราะมีถิ่นกำเนิดจากหิมะบนยอดเขาหิมาลัย อันสูงค้ำฟ้ายากที่ใครๆ จะขึ้นถึง (เมื่อสมัยก่อน) ความคิดฝันของพราหมณ์ที่ว่าพระคงคาเป็นชาวฟ้า และเป็นความจริงที่ว่าแม่น้ำคงคาไหลมาจากภูเขาสูงตระหง่านฟ้า ก็น่าจะยุติลงรอยเดียวกัน คือบริสุทธิ์ อย่างยิ่งทั้งในด้านความคิดฝันและในด้านความจริง
เหตุใดพระคงคาจึงลงมาสู่โลกมนุษย์
มีรายละเอียด ตาม เรื่องราวของอากาศคงคา คือ ท้าวสคร มีมเหสีเอกชื่อ เกศินี เป็นราชธิดาพระราชาวิทรรภ์ มีพระราชโอรสชื่อ อัสมัญชะ พระมเหสีรอง สุมติ เป็นธิดาพระกาศยปพรหมฤาษี มีโอรส หกหมื่นองค์............... และเมื่อ..........
หลังจากที่พระศิวะปล่อยพระคงคาให้ไหลลงสู่เชิงเขาหิมาลัยนั้น พระคงคาไหลผ่านภูเขาอันสลับซับซ้อน ลงสู่แอ่งใหญ่ก่อนจะถึงที่ราบเบื้องต่ำ ตรงแอ่งใหญ่นั้นได้ชื่อว่า คงคาทวาร หรือหรทวาร แล้วไหลผ่านที่ราบตัดเข้าสู่มณฑลพิธีของ ชหนุฤาษี และถูก ชหนุฤาษีกลืนกระแสน้ำนั้นไว้หมดด้วยฤทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ จนในกาลต่อมาเมื่อความโกรธบรรเทาลงแล้ว จึงปล่อยให้กระแสน้ำนั้นไหลออกทางหูของตน พระคงคาจึงแยกเป็นสองสาย (กล่าวกันว่าสายหนึ่งกลายเป็นแม่น้ำ ยมุนา ซึ่งในที่สุดไหลมาบรรจบกับแม่น้ำคงคา ที่ตำบลประยาค) เมื่อ ไหลผ่านมาถึงหลุมใหญ่ซึ่งเป็นสุสานกองอัฐิดังภูเขาเลากาของเจ้าชายทั้งหกหมื่นองค์ แม่คงคาก็ท่วมท้นหลุมนั้นจนกลายเป็นอ่าวอันกว้างใหญ่ต่อเนื่องกับมหาสมุทร อินเดีย เรียกกันว่า “คงคาสาคร” หรือ “มหาสาคร” (ปัจจุบันคืออ่าวเบงกอล ) เมื่อพระคงคาได้ชำระล้างบาปแล้ว โอรสหกหมื่นองค์ของพระเจ้า สคร ก็มีวิญญาณอันบริสุทธิ์ได้ไปสู่สรวงสวรรค์
และในกาลต่อมา มหาชนชาวชมพูทวีป ก็พลอยได้รับประโยชน์จากแม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์นั้น เช่นเดียวกับเจ้าชายทั้งหกหมื่นองค์ทุกประการ
ด้วยเหตุฉะนี้แล แม่น้ำคงคาจึงทรงความศักดิ์สิทธิ์ และความยิ่งใหญ่อยู่ในศรัทธาของชาวภารตวรรษทุกยุคทุกสมัยเรื่อยมา
เพราะเหตุที่ในกาลต่อมาพระคงคา ได้เป็นมเหสีของพระราชาในแดนดิน คือพระเจ้า ศานตนุ กษัตริย์แห่ง จันทรวงศ์ โอรสของพระนางจึงได้นามว่า คังเคยะ (มีกำเนิดจากพระคงคา) ซึ่งในมหาภารตยุทธ์ เรียกว่า เจ้าชาย ภีษมะ
เพราะเหตุที่พระคงคา เป็นแม่น้ำที่ไหลอยู่ในสรวงสวรรค์ อันอาจแลเห็นได้เป็นทางสีขาวพราวระยิบระยับในเดือนมืด คนทั้งหลายจึงเรียกทางขาวระยับนั้นว่า “อากาศคงคา “ หรือแม่น้ำ คงคาในสวรรค์
และในประการสุดท้าย เพราะเหตุที่ แม่พระคงคา เป็นผู้ชำระบาปให้ทุกๆคนได้ไปสวรรค์ ชาวฮินดูทั้งหลายผู้มีความหวังเต็มเปี่ยมในหัวใจ จึงไม่ละเว้นที่จะหาโอกาสไปตายในที่ใกล้แม่น้ำคงคาในกาลเมื่ออวสานแห่งชีวิตของตนใกล้จะมาถึง เพื่อว่าร่างกายของตนจะได้รับการเผาไหม้ และซากศพของตนจะได้ถูกโยนลงสู่แม่น้ำคงคา รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์ เพื่อจักได้เข้าสู่แดนสวรรค์ต่อไป ในการเผาศพโยนทิ้งแม่คงคานั้น จะทำที่ไหนก็ไม่ประเสริฐเท่าที่ฝั่งแม่น้ำคงคา หน้าเมืองพาราณสี และที่ท่าน้ำไหนๆ ในเมืองนั้น ก็ไม่มีท่าใดจะประเสริฐและศักดิ์สิทธิ์เท่า ท่า “ มณีกรรณิการ์”
แม่น้ำคงคาจะดำรงความศักดิ์สิทธิ์ และความยิ่งใหญ่อยู่ในศรัทธาของชาวฮินดูผู้นับถือศาสนาฮินดูต่อไปอีกนานแสนนานตราบเท่าที่ชาวฮินดูทั้งมวล ยังมีศรัทธาอันแข็งกล้าอยู่ และนานแสนนาน จนกว่า....พราหมณ์จะเลิกฝัน
ภารตวรรษ หรือประเทศอินเดีย เป็นอู่อารยธรรมหนึ่งของโลก และทรงอิทธิพลต่อหลายประเทศในภูมิภาคนี้.
อินเดีย - แม่น้ำคงคาใต้แสงสูรยาทิตย์
ผู้เปล่งแสงรัศมีส่องโลกแลสวรรค์ นิรันดร
ที่มาของภาพ Bloggang.com
ที่มาของภาพ Bloggang.com
ฤษี - น. ฤาษี คือ นักบวชพวกหนึ่ง มีมาก่อนพุทธกาล สละบ้านเรือนออกไปบำเพ็ญพรตแสวงหาความสงบ (ส. ฤษี ว่า ผู้เห็น ผู้แต่งพระเวท ; ป.อิสิ)
คำอธิบาย น. ส. ป.
น . คือ นาม
ส.คือ สรรพนาม
น.และ ส. บอกชนิดของคำตามหลักไวยากรณ์
ป. คือ ปาลิ (บาลี) เป็นการบอกที่มาของคำ
เนื่องจาก ฤษี ฤาษี คือผู้ แสวงหาความสงบ บำเพ็ญพรต ด้วยการเข้าสมาธิ บำเพ็ญตบะฌาน ในทาง ธรรม ถือว่า เป็นการปฏิบัติ สมถะกรรมฐาน อันเป็นอุบายสงบใจ สิ่งที่ได้ คือ ฌาน อิทธิฤทธิ์ ต่างๆ ไม่ได้ตัด ซึ่งกิเลศ ตัณหา และอุปาทาน ยังคงมี รัก โลภ โกรธ และหลง หรือ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มี เป้าหมาย สูงสุด คือ พรหม แม้จะเป็นพรหม แต่ก็ยังคงต้องเวียนว่าย อยู่ใน สังสารวัฏ 31 ภพภูมิ มิได้ไปสู่ ความหลุดพ้นคือ นิพพาน การปฏิบัติสมถะกรรมฐานเสมือนการใช้ก้อนหินทับหญ้าไว้ เมื่อยกก้อนหินออก ต้นหญ้าก็เจริญงอกงามเติบโตได้
จึงมิต้องแปลกใจ หากอ่านเรื่องราวต่างๆ ของฤษี หลาย ๆองค์ ที่ยังมีอารมณ์แบบปุถุชน ทั่วไป มีฌาน และเสื่อมฌาน ตามวาระจิต
ส่วนวิปัสสนากรรมฐาน เป็น อุบายเรืองปัญญา
หิมาลัย
คำว่าหิมาลัย (Himalaya)
แปลว่าที่ที่อุดมด้วยหิมะ คือชื่อของเทือกเขายาวและมียอดเขาสูงที่สุดในโลกชื่อ Chomolungma ซึ่งแปลว่า เทพมารดาของโลกมนุษย์ เทือกเขานี้มีความยาว 2,500 กิโลเมตร และทอดตัวยาวตามแนวพรมแดนระหว่างอินเดียกับ ปากีสถาน โดยมีอาณาเขตทิศตะวันตกจดแม่น้ำสินธุ (Indus) และทิศตะวันออกจดแม่น้ำพรหมบุตร ทางด้านเหนือของเทือกเขา คือที่ราบสูงทิเบต และบริเวณส่วนกลางของเทือกเขาที่มีความกว้างประมาณ 250 กิโลเมตร มียอดเขาสูงและหุบเหวลึกมากมาย
ในหน้าร้อนเมื่อลมมรสุมพัดจากอ่าวเบงกอลเข้าสู่ล่มน้ำคงคา นำฝนสู่บริเวณตอนล่างของอินเดียและหิมะสู่บริเวณตอนเหนือ ทำให้ที่ระดับความสูงกว่า 4,500 เมตร มีหิมะปกคลุมทั้งปี เทือกเขาหิมาลัยมียอดเขาสูงกว่า 70 ยอด ที่มีความสูงตั้งแต่ 6,000 เมตรขึ้น ไป
เทือกเขาหิมาลัย พาดผ่าน หก ประเทศ คืออินเดีย ปากีสถาน เนปาล ภูฏาน พม่า จีน (รวมธิเบต)
น้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญ 8 สาย ได้แก่ แม่น้ำโขง แม่น้ำอิระวดี แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำคงคา แม่น้ำสินธุ แม่น้ำพรหมบุตร แม่น้ำแยงซี และแม่น้ำเหลือง
เขาไกรลาสและห้วงสมุทรสีทันดร
เขาไกรลาส ชื่อนี้คงคุ้นหูของเราๆท่านๆ กันดี ตามคัมภีร์ของชาวฮินดูนั้น กล่าวว่า ที่ประทับขององค์พระศิวะนั้นคือเขาไกรลาส ซึ่งก็อยู่บนโลกมนุษย์เรานี่เอง แต่ว่าเขาไกรลาส นั้นมีจริงหรือไม่ ถ้ามี...แล้วอยู่แห่งหนใดกันเล่า? ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล จึงพลาดไม่ได้ที่จะเก็บเรื่องราวของเขาไกรลาส ซึ่งมีอยู่จริงๆบนโลกใบนี้
ทะเล สาบมานัสโรวา
เขา ไกรลาสนั้นบางทีก็กล่าวกันว่าเป็นที่อยู่ ของเท้ากุเวรและเป็นสวรรค์ของพระศิวะ มีลักษณะ ที่พรรณนากันว่า สีขาว อย่างเงินยวง บางทีก็เรียกกันว่าผาเผือกตั้งอยู่บนภูเขาหิมาลัยซึ่งเป็นยอดสูงสุดในตอนใต้ ของทะเลสาบมานัส อันเป็นเทือกเขาตอนที่กั้นแดนทางเหนือของภรตวรรษ ซึ่งชาวฮินดูนับถือกันมาก ถือกันว่าเป็นที่สถิตแห่งเทพและประชาบดี หรือฤาษีสำคัญ ๆ
แต่ถ้าไปเปิดแผนที่ดู เราจะไม่พบที่ตั้งของ เขาไกรลาสเลย ทั้งนี้ก็เพราะว่าภูเขาหิมาลัยนั้นเป็นเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก และก็มียอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ตลอดจนสูงติดอันดับมากมายหลายยอดตั้งแต่ศักกะมารตา หรือเอเวอเรสต์ที่สูง 29,028 ฟุต และยอดเขาไกรลาสสูงเป็นลำดับที่ 32 ในโลก คือสูง 22,020 ฟุต และสูงเป็นที่ 19 ในหมู่ยอดเขาในเทือกเขาหิมาลัย
การที่ชื่อภูเขาไกรลาสหาไม่ค่อยจะพบก็เพราะมีชื่อเป็นทางการว่า กังติ-สู-ชาน (Kangti-ssu-shan) ในปัจจุบันอยู่ในเขตทิเบต หรืออีกชื่อหนึ่งคือ กัวลา มาน ฮาตา (Gurla mand hata) ตั้งอยู่บนเขตพื้นที่ไกรลาส (Kailasrange) ซึ่งมีช่องเขาเป็นเส้นทางไปได้จากทางอินเดีย บางทีภูเขาลูกนี้ก็เรียกกันว่า ภูเขาเงิน อยู่ ทางตะวันตก ของทิเบต เพราะยามเมื่อหิมะที่จับขาวโพลนต้องแสงอาทิตย์ จึงดูประดุจแผ่นเงินซึ่งพวกอารยันนับถือมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าเป็นภูเขา ศักดิ์สิทธิ์มี ทะเลสาบ มานัสโรวา (Manasrowar) ซึ่งเป็นที่นับถือ กล่าวกันว่า พระศิวะประทับอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ครั้งสร้าง โลก ซึ่งชาวอินเดียนับล้านๆ คนที่นับถือ ได้พยายามหาทางที่จะไปให้ถึงเพื่อทำการสักการบูชาให้ได้
ทั้ง ภูเขาไกรลาสและทะเลสาบมานัส ถูกกล่าวถึงในเรื่องรามายณะและมหาภารตะ ในรามายณะ กล่าวถึงทะเลนี้ว่า "ทะเลสาบมานัสอันศักดิ์สิทธิ์นี้ แม้แต่ใครได้ถูกต้องสัมผัสหรือนำเอามาล้างร่างกายหรือว่าได้อาบน้ำในทะเลสาบ นี้ ผู้นั้นจะได้ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ และถ้าใครได้ดื่มน้ำในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์นี้ ก็จะได้ขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ใกล้ที่สถิตของพระศิวะ" นั่นเทียว
แต่ก็มีชาวฮินดูบางพวกที่เชื่อว่าภูเขาลูกนี้คือภูเขาพระสุเมรุ อันเป็นแกนของโลกและมีทะเลขวางอยู่ และเป็นที่ประทับของพระศิวะ ที่ผู้นับถือลัทธิพราหมณ์กล่าวว่า ณ กึ่งกลางทะเลสาบนี้ มี ต้นชมพู่ (Jumbu) ศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็น ซึ่งมีสายน้ำไหลออกมาจากผลของต้นไม้นี้ เกิดเป็น น้ำในทะเลสาบขึ้น เป็นสายน้ำอันมีคุณวิเศษ ทำให้อายุยืนยาว และ สายน้ำในทะเลสาบนี้แหละที่ไปโผล่เป็น ต้นน้ำคงคา อันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น บริเวณที่เป็นทะเลสาบมานัส และภูเขาไกรลาส (ไกลาส) จึงยึดถือกันว่าเป็นบริเวณที่จะต้องไปนมัสการหรือธุดงค์ อันเรียกว่า ไกรลาสยาตรา (Kailas yatra) ซึ่ง พราหมณ์ สวามี นาวะนันทะ กล่าวไว้ว่า การธุดงค์ไปจนถึงภูเขาไกรลาสและเดินประทักษิณให้ครบ 39 รอบ เป็นการเคารพบูชาอันสูงสุด (ถ้าไม่ตายเสียก่อน) และการเดินทางไปจะต้องเดินทางในเดือนกันยายน หรือตุลาคม เท่านั้น
แต่ ภูเขาไกรลาสและทะเลสาบมานัสนั้นอยู่ไกลหนักหนา ผู้ที่จะทำการไกรลาสยาตราจะต้องเดินทางไปจากอินเดียผ่านเข้าไปทางช่องเขาลิ ปูเลค ซึ่งมีทางเดียวคือต้องเดินทางไปจากอุตรประเทศของอินเดียเข้าไปสู่ทิเบต โดยการไกรลาสยาตรากว่าจะเดินด้วยเท้าไปถึงก็กินเวลาถึง 7 วัน จึงจะถึงช่องเขาอันอยู่ในระดับสูง 17,600 ฟุต
ยังมีชื่อ "ทะเล" ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ในเรื่องราวที่เกี่ยวกับเทพเจ้าของชาวฮินดู นั่นก็คือชื่อของทะเลสำคัญที่มีชื่อว่า "สีทันดร" ที่ปรากฏอยู่ในไตรภูมิ และกล่าวว่า ทะเลนี้ล้อมรอบเขาพระสุเมรุอันกล่าวว่า เป็น ที่อยู่หรือที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเป็นภูเขาที่มองไม่เห็น ถ้าเป็นที่พำนักของพระศิวะดังกล่าวกันแล้ว สีทันดรก็คือทะเลที่อยู่โดยรอบของอาณาจักรของพระรุทระหรือพระอิศวร ซึ่งก็มีเพียงแห่งเดียวที่เห็นได้และมีอยู่จริง ท่ามกลางภูเขาอันมียอดปกคลุมด้วยหิมะล้อมไว้ คือทะเลสาบมานัสโรวาแต่กึ่งกลางของทะเลสาบก็หามีอาณาจักรใดไม่ หรือว่าจะซ่อนอยู่ในมิติหนึ่งที่ทำให้คนไม่พบ ทั้งๆที่พยายามค้นหากันอยู่ในปัจจุบัน
( ขออภัย ที่ มี มาตราวัดทั้ง ไมล์ กิโลเมตร เมตร และ ฟุต เพราะข้อมูลมาจากหลายแหล่งโดยคงของเดิมไว้ ถ้าจะต้องคำนวณให้เป็นหน่วยวัดเดียวกัน ก็ยุ่งยากเอาการ)
กุหลาบพันปี ของเทือกเขาหิมาลัย
ที่มาของข้อความและภาพ Bloggang.com
LOY KRATONG
การลอยประทีป-ลอยกระทง-
ที่อินเดีย มีการลอยประทีป คืนเพ็ญกลางเดือนสิบสอง สำหรับ บูชาพระนารายณ์ ที่บรรทมอยู่ ไวกุณฐสถานกลางเกษียรสาคร และลอยบาปเคราะห์ (และคงไม่ใช่พิธี คงคาอารตี ละกระมัง ดูเหมือนว่า คงคาอารตี ทำกันอยู่ทุกวัน ตามสารคดี ที่ได้ยินมา)
ประเทศลาว ลอยประทีปและไหลเรือไฟ เพื่อบูชาพระคุณของแม่น้ำ โขง และบูชาพระพุทธเจ้าที่เสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
กัมพูชา ลอยประทีป-กระทง เพื่อบูชาพระจันทร์ในคืนเพ็ญ
เวียตนาม เกาหลี ญี่ปุ่น จีน เพื่อขอขมา แม่น้ำ และลอยความทุกข์โศก ตามความเชื่อ ของศาสนาพุทธ นิกายมหายานที่แพร่หลายเข้าไปในจีน และที่ประเทศจีน ก็เป็นการลอยกระทง
พม่า ลอยกระทงเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า และบูชา ผีนัด ซึ่งเป็นดวงวิญญาณ ที่คุ้มครองบรรดาสรรพสิ่งอยู่ทั่วไป
ที่สิงโปร์ ก็มีการลอยกระทงเช่นกัน
เอ แล้ว ยงจุน ของพวกเรา เชื่อถือประเพณีนี้ไหมหนอ .........ยงจุน ก็เป็นชาว ลุ่มแม่น้ำ ฮัน..
การลอยกระทงในบ้านเรา
ในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยและเอกสารร่วมสมัย ไม่มีชื่อ "ลอยกระทง" แม้ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงก็มีแต่ชื่อ "เผาเทียน เล่นไฟ" ที่มีความหมายอย่างกว้างๆ ว่าทำบุญไหว้พระ โดยไม่มีคำว่าลอยกระทง อยู่ในศิลาจารึกนี้ เอกสารและวรรณคดียุคกรุงศรีอยุธยาสมัยแรกๆ มีชื่อ "ชักโคม ลอยโคม แขวนโคม" และ "ลดชุดลอยโคมลงน้ำ" ในพิธีพราหมณ์ของราชสำนักเท่านั้น กว่าจะมีชื่อ "ลอยกระทง" ก็สมัยหลังๆ ต่อๆ มามากแล้ว แม้สมัยกรุงธนบุรีก็ไม่เคยมีชื่อนี้
จนยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์จึงมีชัดเจนอยู่ในพระราชพงศาวดารแผ่นดินรัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ และเรื่องนางนพมาศ พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 3.....ไม่ว่าประเพณีลอยกระทงจะเกิดมีขึ้น แล้วมีพัฒนาการมาอย่างไรก็ตาม แต่ความหมายที่มีคุณค่ามหาศาลต่อสังคมอันควรเผยแพร่ให้กว้างขวางตั้งแต่บัดนี้ไป ก็คือ "ลอยกระทงแม่พระคงคา ขอขมาธรรมชาติ อันมีดินและน้ำหล่อเลี้ยง ตลอดจนพืชและสัตว์ที่เกื้อกูลความมีชีวิตให้มวลมนุษย์"
ที่มา : บทความจาก ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาศิลปากร
นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ซึ่งเป็นสนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัว แทนการลอยโคม เพื่อเป็นการสักการะ รอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้น ทักขิณาบถ ของประเทศอินเดีย ปัจจุบัน เรียกว่า แม่น้ำเนรพุทา
1.เพื่อสักการะและขอขมา แด่พระแม่คงคา (หมายถึงแม่น้ำ ทั่วไป) เพราะได้อาศัยน้ำดื่ม กิน เป็นทางคมนาคม บำรุงหล่อเลี้ยง เหล่าปู ปลา เหรา สัตว์น้ำอื่นๆ พืชผลสาลีเกษตร และมนุษย์มักจะทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำ
2. เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทที่ฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ประทับรอยพระบาท ประดิษฐานไว้บนหาดทราย แห่งนั้น เมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ
3.การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี........ครั้งเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากนครกบิลพัสด์ เมื่อทรงข้ามแม่น้ำ อโนมา ทรงตัดพระโมลีโดยทรงจับพระโมลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวา ทรงพระขรรค์ตัดพระโมลี โยนขึ้นไปบนอากาศ พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับไว้ และนำไปบรรจุไว้ยังจุฬามณี เจดียสถานในเทวโลก
4. เพื่อบูชาพระอุปคุตต์ โดยตำนานเล่าว่า อุปคุตต์นั้น เป็นพระมหาเถระรูปหนึ่ง เป็นพระอรหันต์หลังพุทธกาล ที่มีอิทธิฤทธิ์ สามารถปราบมารได้ ท่านจะนั่งสมาธิอยู่ ในท้องมหาสมุทร พระอุปคุตต์นี้ไทยเรียกว่า พระบัวเข็ม ชาวไทยเหนือหรือชาวพม่าจะนับถือพระอุปคุตต์มาก
5. การลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จกลับจากเทวโลก
เมื่อครั้งเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาอภิธรรม โปรดพระพุทธมารดา
6.การลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
กาเผือกคู่หนึ่งทำรังอยู่บน ต้นไม้ ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งกาผู้สามีออกไปหากิน แล้วบินกลับมาเข้ารังไม่ได้ ปล่อยให้นางกาซึ่งกำลังกกไข่ 5 ฟอง รอด้วยความกระวนกระวายใจ เกิดมีลมพายุใหญ่ พัดรังนกตกลงมากระจัดกระจาย ไข่นกตกลงในแม่น้ำ ส่วนแม่นก ถูกลมพัดไปคนละทิศทาง เมื่อแม่กาย้อนกลับมาดูไข่ที่รัง ก็ไม่พบ จึงร้องไห้จนขาดใจตาย และไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหม อยู่บนพรหมโลก ส่วนใข่ทั้ง 5 ฟอง ลอยน้ำไปในสถานที่ต่าง ๆ บรรดาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ มาพบเข้า จึงนำไปรักษาตัวละฟอง ครั้น ถึงเวลาฟัก ไข่นกนั้นกลับกลายเป็นมนุษย์ ทั้งหมด เป็นกุมาร ทั้ง 5 และล้วนต่างได้ออกบรรพชา เป็น ฤาษี ทั้ง 5 ในกาลต่อๆมา ได้เป็นพระพุทธเจ้า ในแต่และยุค ของ ภัทรกัปทั้ง 5 พระองค์ และองค์ ที่ 4 ที่แม่โค นำไปรักษา ก็คือ พระ โคตโม ( และพวกเราชาวพุทธ คือศิษย์ของพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าพระองค์นี้นี่เอง )
7.การลอยกระทง เพื่อบูชาพระนารายณ์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งทรงบรรทมอยู่บนแท่นบัวบาน ภายใต้ชะเงื้อมเศียรตั้งพันแห่งพญานาคเศษะ ใน ทะเลน้ำนม ณ สรวงสวรรค์ อันมีนามว่า ไวกูณฐ์
8.เพื่อลอยทุกข์ โศก โรค ภัย และความไม่ดีทั้งปวง ออกไป เหมือนกับการลอบบาป ของศาสนาพราหมณ์
ขอเชิญ เพื่อนๆ ไปร่วมกันสืบสานประเพณี ลอยกระทง อันงดงามบริสุทธิ์ ด้วยจุดมุ่งหมายตามตำนาน
ขอปิดท้ายด้วยบางท่อนของเนื้อเพลงรำวงมาตรฐาน อันเกี่ยวเนื่องกับพระจันทร์ ซึ่งเป็นวิชาขับร้อง ตอนที่ดิฉัน เรียนหนังสือ ชั้นประถม สาม เป็นเพลงชุด มี 10 เพลง เรียนไปรำไป 10 เพลงก็ 10 ท่ารำ
เหลือค้างให้จดจำแค่ท่าที่ 1 สอดสร้อยมาลา ท่าเดียวเท่านั้น
เพลงที่หนึ่ง ก็ คือ งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า ........
เพลงที่สี่ ดวงจันทร์ขวัญฟ้า ชื่นชีวาขวัญพี่ จันทร์ประจำราตรี.....
เพลง ที่ห้า
ดวงจันทร์วันเพ็ญ
ดวงจันทร์วันเพ็ญ ลอยเด่นอยู่ในนภา ทรงกลดสดศรีรัศมีทอแสงงามตา แสงจันทร์อร่าม สวยงามส่องฟ้า ไม่งามเท่าหน้านวลน้องยองใย งามเอย แสนงาม...............
ชื่อของท่ารำ ก็เช่น สอดสร้อยมาลา ชักแป้งผัดหน้า ผาลาเคียงไหล่ เป็นต้น คงเคยได้ยินกัน
เพลงปัจจุบัน ที่เราชินหู รู้จักกันดี เป็นเพลง รำวงสมัยใหม่ คือเพลง ลอยกระทง
วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง................
เรื่อง พระคงคา นี้ยาวมาก เพราะมีเรื่องที่เกี่ยวข้อง ประเภท วงศ์วานหว่านเครือ เนื้อหน่อเดียวกัน มากมาย และที่เป็นความลับส่วนตัว ก็คือ บทความจะยาวไปตามอายุของคนโพสต์ โพสต์ แบบไม่สนใจคนอ่านประมาณนั้น อ่านหรือไม่อ่าน ฉันก็จะโพสต์
ถ้าโพสต์ตอนอายุ 60 คงมีความยาว เป็น สองเท่า จนน่าสยองว่าไม่มีคนอ่านละกระมัง
ขอเพิ่มเติมข้อมูล เรื่อง จุดมุ่งหมายของการลอยกระทง ในข้อ
6.การลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
6.การลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
ไข่นกนั้นกลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมด เป็นกุมาร ทั้ง 5 และล้วนต่างได้ออกบรรพชา เป็น ฤาษี ทั้ง 5 ในกาลต่อๆมา ได้เป็นพระพุทธเจ้า ในแต่ละยุค ของ ภัทรกัป ทั้ง 5 พระองค์ และองค์ ที่ 4 ที่แม่โค นำไปรักษา ก็คือ พระ โคตโม ( และพวกเราชาวพุทธ คือศิษย์ของพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าพระองค์นี้นี่เอง )
พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ นี้ หมายถึงพระพุทธเจ้า ของภัทรกัป พระพุทธเจ้า องค์ที่ 5 คือพระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งยังมาไม่ถึง
พระพุทธเจ้าแต่ละองค์มีระยะเวลาของศาสนาของพระองค์แตกต่างกัน
พระพุทธเจ้าหมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และได้นำธรรมะที่พระองค์ค้นพบมาสั่งสอนแก่บรรดามนุษย์และสัตว์โลกเพื่อให้พ้นทุกข์ได้เช่นพระองค์ แต่ละยุคสมัยมีพระพุทธเจ้าได้เพียงพระองค์เดียว ทางพุทธศาสนามีพระพุทธเจ้าแล้ว 28 พระองค์ พระองค์แรกที่สุดมีชื่อว่าพระตัณหังกร จนมาถึงภัทรกัป เรากำลังอยู่ในยุคของพระโคตโมพระพุทธเจ้า เมื่อสิ้นยุคของพระองค์ คำสั่งสอนจะหายไป เป็นเวลาอีกเนิ่นนานที่โลกไม่มีพระพุทธเจ้า เรียกว่า สุญญกัป เป็นเวลานานมาก จึงจะมีพระพุทธเจ้า คือ พระศรีอาริยเมตตรัย ซึ่งจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายของภัทรกัป
คำว่านานมาก นั้น นานเพียงไร ขอเล่าสู่ ผู้อ่านดังนี้
ขอตัดตอนมาว่า ในปัจจุบันนี้ถือว่า อายุของมนุษย์ เมื่อ พ. ศ 2500 มนุษย์ มีอายุ 75 ปี และทุกๆ 100 ปี มนุษย์ จะมีอายุลดลง 1 ปี (ในปี 2550 อายุมนุษย์จะเหลือ 74 ปีครึ่ง) ในปี พ.ศ. 2600 มนุษย์ ก็จะมีอายุเหลือเพียง 74 ปี และอายุลดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง มนุษย์ มีอายุ เพียง 10 ปี ก็จะเกิดการรบราฆ่าฟัน ไม่มีศีลธรรม มนุษย์ ที่รอดตาย ต้องหลบอาศัยอยู่ตามถ้ำต่างๆ และเริ่มมีการกลับมา ถือศีล ทำความดีและทำให้ ทุกๆ 100 ปี อายุของมนุษย์ จะอายุยืนยาวเพิ่ม ขึ้น 1 ปี จนกระทั่ง มนุษย์มีอายุยืนยาวหนึ่งอสงไขย (มากจนนับไม่ถ้วน เป็นมาตราวัดจำนวนที่ใหญ่ที่สุด คือ โกฏิยกกำลัง 20 )
พระอาจารย์ผู้สอนปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเล่าว่า การที่มีเมล็ดผักกาดบรรจุอยู่ในเกวียน 1 เล่ม ทุก ๆ 100 ปี หยิบเมล็ดผักกาดออก 1 เมล็ด จนกระทั่งเมล็ดผักกาดถูกหยิบออกหมดจากเกวียน ระยะเวลานานนี้ ยังไม่ถึงหนึ่งอสงไขย ) หลังจากหนึ่งอสงไขย ชีวิตมนุษย์จะเริ่มลดลงอีก คือทุก 100 ปี อายุลดลง 1 ปี จนกระทั่งมนุษย์ มีอายุ 8 หมื่นปี นั่นแหละ จึงจะมีพระพุทธเจ้าพระศรีอาริยเมตตรัย (ในยุคพระพุทธเจ้า ทีปังกร พระพุทธเจ้าองค์ ที่ 4 จาก 28 พระองค์ มนุษย์ ในยุคนั้นมีอายุ 1 แสนปี)
หลายท่าน ที่ คิดจะได้เกิดเป็นมนุษย์ในยุคพระศรีอาริยเมตตรัย จะต้องเวียนว่ายตายเกิด กันอีกยาวนานแค่ไหนหนอ ฉะนั้นในยุคนี้ เรายังมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าพระสมณโคดม ให้ยึดถือเป็นหลัก ขอให้ทุกท่านรีบทำความดี ปฏิบัติธรรม ใช้ความเพียรสั่งสม บุญกุศลกันไว้นะคะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ
ReplyDelete