23.9.10

My Journey’s Diary : Trip to Korea Episode 6 – Gyeongbokgung, the greatness of Joseon Dynasty




ก่อนจะเริ่มเรื่องการเดินทาง ขอใช้พื้นที่ตอบคำถามมิตรรักแฟนเพลงที่ส่งอีเมล์กันเข้ามาหน่อยนะคะ มีหลายคนถามถึงการไปเที่ยวเกาหลีว่าควรไปเที่ยวช่วงไหนดี? ฤดูไหนสวย? ฯลฯ ราวกับดิฉันเป็นทูตท่องเที่ยวเกาหลี (แย่งงานป๋าเบทำซะเลย) ทั้งๆ ที่ดิฉันเป็นประเภท (กู) รู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่จะช่วยตอบให้เท่าที่รู้แล้วกันค่ะ

อย่างที่เคยบอกไปนะคะว่าเกาหลีนั้นมี 4 ฤดู แต่ละฤดูก็สวยแตกต่างกันไป ถ้าคุณชอบดอกไม้สวยๆ น้ำพุสวยๆ ต้องไปช่วงฤดูใบไม้ผลิค่ะ ดอกไม้จะบานสวยเต็มต้น ทางกรุงโซลจะเปิดน้ำพุฉลองฤดูใบไม้ผลิ สวยงามมากค่ะ ถ้าชอบอากาศแบบบ้านเรา ก็ต้องหน้าร้อนค่ะ แบบที่เราไปนี่แหละค่ะ อากาศแสนคุ้นเคย (ร้อนตับแลบ) เจอฝนเล็กน้อย การที่ฝนตกเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนฤดูแล้วค่ะ โดยส่วนตัวดิฉันอยากแนะนำให้เที่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาว เพราะเป็นภูมิทัศน์ที่บ้านเราไม่มี (และไม่มีทางมี) จึงต้องขอไปดูที่บ้านเค้าค่ะ ฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้จะเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นแดงเป็นน้ำตาลแล้วค่อยร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน เป็นภาพที่สวยงามเหมือนในภาพวาดเลยล่ะค่ะ ส่วนฤดูหนาว ถึงจะหนาวมากจนเราแทบเดินไม่ออกยิ้มไม่ได้ แต่เราจะได้เห็นหิมะ (ของจริง ที่ไม่ใช่ดรีมเวิร์ล) ได้สัมผัสแตะต้องเล่นหิมะกันจริงๆ แบบในละครป๋าเบเลยทีเดียวเชียวค่ะ ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้จะเริ่มเดือนตุลาคมนี้แล้ว โดยทางกรมอุตุฯ ของเกาหลีออกมาพยากรณ์แล้วค่ะ เก็บข่าวจาก KTO มาฝากกันนะคะ...


ใบไม้เปลี่ยนสีจะเริ่มเห็นได้ในภูเขาทั่วไปของประเทศ ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ซึ่งปีนี้จะเริ่มช้ากว่าปีที่แล้ว 1 สัปดาห์

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ในปีนี้ใบไม้เปลี่ยนสีจะเริ่มเปลี่ยนสีที่อุทยานแห่งชาติ ซอรักซาน ประมาณวันที่ 3 ตุลาคม ในขณะเดียวกัน ภูเขา ชีรี และ ภูเขา ซองนี จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงประมาณวันที่ 20 ตุลาคม

โดยใบไม้เปลี่ยนสีจะเปลี่ยนสีสันชัดเจนเป็นสีแดงที่อุทยานแห่งชาติซอรักซานประมาณวันที่ 20 ตุลาคม และ ที่ภูเขาแนจังซานในวันที่ 6 พฤศจิกายน

หมายเหตุ: ข่าวจาก สำนักข่าว kbs world วันที่ 15 กันยายน

(ซอรักซาน เป็นสถานที่ที่ดิฉันอยากให้คุณได้ไปชมกันค่ะ อยากให้คุณสัมผัสด้วยตาตัวเองว่ามันสวยงามแค่ไหน)


Blue House…

การเดินทางวันที่ 3 ของเราเป็นทัวร์พระราชวังค่ะ...

แต่ก่อนที่จะไปพระราชวัง เราไปแวะชมทำเนียบประธานาธิบดีของเกาหลีใต้หรือที่เรียกกันว่า “บลูเฮ้าส์” เนื่องจากมีกระเบื้องหลังคาเป็นสีฟ้าค่ะ ส่วนที่เราเข้าไปเที่ยวกันได้ก็คือบริเวณด้านนอกที่มีนกฟีนิกซ์ประดับอยู่นะคะ (รูปด้านบนค่ะ) ส่วนที่เป็นทำเนียบจริงๆ ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานและที่พำนักของท่านประธานาธิบดีเข้าไปไม่ได้ค่ะ ตอนขับรถผ่านก็ห้ามถ่ายรูปและห้ามหยุดรถด้วยค่ะ ต้องขับผ่านไปเลย ไม่งั้นคุณพี่ตำรวจจะเข้ามาหาค่ะ (คงนึกว่าพวกเราเป็นจารชนเกาหลีเหนือจะเข้ามาบุกทำเนียบ)

จากนั้นเราก็ไปที่พิพิธภัณฑ์และพระราชวังกันค่ะ นี่คือด้านหน้าพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านค่ะ

National Folk Museum


ส่วนคุณตำรวจกลุ่มนี้เป็นผู้โชคดี (หรือโชคร้ายก็ไม่รู้) ที่บังเอิญเดินชักแถวผ่านมาตอนสาวๆ ของเรากำลังถ่ายรูปกันอยู่พอดี ตอนที่เดินมาแต่ไกลก็ยังเป็นแถวตรงมีระเบียบดีอยู่ แต่พอเห็นสาวๆ หันกล้องมาหา แถวก็เริ่มแตก แถมหัวหน้าหมู่ยังสั่งลูกน้องว่า “ยิ้มด้วย”...555...ตำรวจเกาหลีนี่น่ารักจริงๆ สุดท้ายคุณน้องต่ายเลยไปเจรจาขอถ่ายรูปด้วย ก็เลยได้ภาพนี้มาค่ะ

Korean Police & Thai Girls ^^


ด้านในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านได้จัดแสดงชีวิตความเป็นอยู่ของคนเกาหลีตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย จัดไว้เป็นแต่ละช่วงชีวิตให้ดูกันเลยค่ะ น่าสนใจมากๆ ภาพอาจมีไม่เยอะนัก เพราะข้างในค่อนข้างมืดและห้ามใช้แฟลช ภาพที่ถ่ายมาเลยมีแบบที่มืดมัวสลัวค่อนข้างเยอะ

อันนี้เป็นตอนเกิดค่ะ มีที่นอน มีชุดเด็ก รองเท้า และเครื่องประดับต่างๆ

Inside National Folk Museum




ส่วนนี่เป็นพิธีแต่งงาน และเกี้ยวเจ้าสาวค่ะ เกี้ยวขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก นั่นแสดงว่าแต่เดิมคนเกาหลีเป็นคนรูปร่างเล็กเหมือนคนไทยเรานี่แหละค่ะ แต่เด็กรุ่นใหม่สงสัยกินนมกล้วยมากไปตัวถึงได้สูงยาวกัน ถ้าพูดกันตามจริงแล้วผู้ชายเกาหลีที่เห็นเดินกันอยู่ตามท้องถนนก็ตัวไม่ใหญ่โตอะไร คงจะมีแต่พวกดาราเท่านั้นที่ตัวสูงๆ กัน แม้แต่สต๊าฟของทรีเจเองก็ตัวเล็กกว่าซ็อกกันทุกคน กึนซามะที่เราเห็นในรูปว่าน่าจะตัวล่ำๆ หน่อย ตัวจริงก็ตัวเล็กค่ะ ตัวเตี้ยกว่าซ็อกอีก เจ้าซ็อกมันเลยสูงปรี๊ดโดดเด่นอยู่คนเดียว

ส่วนผู้หญิงกลับตรงข้ามกันเลย ผู้หญิงจะตัวล่ำๆ ดูแข็งแรงบึกบึนดีทีเดียว ส่วนสาวน้อยตัวเล็กๆ น่ารักเห็นจะมีแต่ในละครเท่านั้นค่ะ




อันนี้ไม่ได้คุยโทรศัพท์กับใครอยู่นะคะ แต่เมื่อคุณยกหูโทรศัพท์ขึ้นจะได้ยินเสียงดนตรีจากเครื่องดนตรีนั้นๆ ค่ะ ตรงนี้เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านของเกาหลีค่ะ





นี่เป็นเกี้ยวแห่พระศพของกษัตริย์ค่ะ อลังการมากๆ



ส่วนนี้เป็นการแสดงตัวอักษรเกาหลีค่ะ เค้าทำเป็นไฟสีๆ ไว้สวยงามมากๆ ค่ะ

Sooo beautiful !!!!


จากนั้นเราจะเข้าสู่พระราชวังเคียงบ๊กกันแล้วนะคะ พระราชวังเคียงบ๊กถือเป็นพระราชวังสมัยราชวงศ์โชซอน เป็นที่พำนักของกษัตริย์และมเหสีนางในทั้งหลาย มีความสวยงาม และมีเนื้อที่กว้างขวางมาก จะเห็นความสวยงามของศิลปะเกาหลี และสีสันลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ เราได้ไปแวะชมบริเวณตำหนักของมเหสีมินจายอง หรือสมเด็จพระจักรพรรดินีเมียงซอง พระมเหสีแห่งพระเจ้าโกจง ซึ่งถือได้ว่าเป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์โชซอนก่อนที่จะถูกญี่ปุ่นเข้ามายึดครอง ประวัติของพระนางน่าสนใจมาก แต่ก็ยาวมากด้วย คงเล่าตรงนี้ไม่ไหว เอาไว้ถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟังนะคะ เอาแบบสรุปเลยก็คือ พระนางเป็นราชินีที่มีความสามารถมากๆ หากพระนางยังคงมีพระชนม์ชีพอยู่ยาวนานกว่านั้น หน้าประวัติศาสตร์ของเกาหลีคงเปลี่ยนไปอย่างแน่นอนค่ะ ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นจึงต้องหาทางสังหารนางให้ได้ และส่งซามูไรเข้ามาเพื่อปลิดชีวิตพระนาง (แน่นอนมันคงเข้ามาไม่ได้ง่ายๆ หากไม่มีไส้ศึก) ถึงแม้ว่าทั้งทหารรักษาพระองค์ เสนาบดี เหล่าซังกุงและนางกำนัลจะยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องพระนางแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ยังทรงถูกปลงพระชนม์ ก่อนจะถูกสังหารพระนางตรัสว่า "ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะยังปกป้องแผ่นดินนี้ไว้เพื่อไม่ให้พวกเจ้ามาแตะต้องอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้" ทหารญี่ปุ่นนอกจากจะสังหารพระนางแล้วยังนำพระศพไปเผาตรงสวนด้านหน้าตำหนักอีกด้วย (เพื่อให้แน่ใจว่าพระนางตายแน่ๆ) ซึ่งขณะนั้นพระนางมีพระชนมายุเพียงแค่ 43 ชันษาเท่านั้น

Gyeongbokgung










สำหรับพระราชวังเคียงบ๊กนี้ เวลาคุณเดินอยู่ที่นี่จะรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนอยู่บ้านเราเลยทีเดียวเชียวค่ะ ไม่ใช่ว่าชาติที่แล้วดิฉันเกิดเป็นคนเกาหลีนะคะ แต่ว่าเมื่อเดินๆ ไปก็จะมีคนมาสะกิดคุณแล้วพูดว่า “พี่คะ ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยได้มั้ยคะ” ภาษาไทยชัดเจน และไม่ใช่สมาชิกในกลุ่มเราค่ะ พอเดินไปอีกหน่อยก็มีคนมาจับแขนแล้วถามว่า “มาจากไหนคะ?” “มาจากกรุงเทพฯ ค่ะ” (???) ถ้าข้างหน้าไม่ใช่ตำหนักแบบเกาหลีจะนึกว่าเดินอยู่แถววัดพระแก้วแล้วนะคะเนี่ย และแม้แต่ท่านรัฐมนตรีฯ ท่านหนึ่ง (ขอสงวนนามนะคะ เผื่อท่านจะหนีงานมาเที่ยว เดี๋ยวจะโดนท่านนายกพี่มาร์คเล่นงานเอา) ซึ่งตามปกติเราจะเจอตัวท่านยากมาก เพราะท่านจะนั่งรถติดฟิล์มสีดำพร้อมบอดี้การ์ด แต่ที่นี่เราสามารถเจอท่านแบบตัวเป็นๆ แถมขอถ่ายรูปได้ด้วย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะค่ะงานนี้ เคียงบ๊กกุงเป็นดินแดนของคนไทยจริงๆ







นี่เป็นมังกรเกาหลีค่ะ มังกรนี้ประดับอยู่เหนือท้องพระโรงที่กษัตริย์ใช้ว่าราชการนะคะ เค้าใช้เชือกกั้นไว้ เลยได้แต่แอบส่องมังกรมาฝากค่ะ




ยิ่งใหญ่และงดงามจริงๆ ค่ะ พระราชวังเคียงบ๊กกุง




ต่อจากนั้นเราก็ไปเดินเล่นให้หายร้อน (อากาศร้อนมากมายค่ะ) กันที่คลองชองเกชอนนะคะ คลองเลื่องชื่อ ผลงานชิ้นโบว์แดงของท่านประธานาธิบดีลีเมียงบัค กับการแปรเปลี่ยนคลองน้ำเน่าและสภาพเสื่อมโทรม ให้กลายมาเป็นคลองน้ำใสไหลเย็นและมีภูมิทัศน์อันงดงาม ขอยืนยันเลยค่ะว่าน้ำเค้าใสจริงและไหลเย็นจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่รู้ประวัติมาก่อนจะไม่เชื่อเลยว่าที่นี่เคยเป็นแหล่งเสื่อมโทรมมาก่อน ผู้คนที่นี่ก็ดูจะมีความสุขกันมากกับคลองแห่งนี้ มานั่งเล่นน้ำกันสบายใจเลยค่ะ ในขณะที่ด้านบนเป็นตึกสูงๆ มีรถราวิ่งกันขวักไขว่ สาวๆ บ้านเราแอ๊คท่าถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลินค่ะ

Cheonggyecheon







สำหรับมื้อเที่ยงวันนี้เป็นเมนูประจำฤดูร้อนค่ะ ไก่ตุ๋นโสม หรือซัมแกทัง เป็นไก่ทั้งตัว (ทั้งตัวจริงๆ กินไก่กันเป็นตัวๆ เลย) ตุ๋นกับโสมและสมุนไพร ข้างในท้องไก่เค้าจะยัดไส้ข้าว พุทรา แปะก๊วย และอื่นๆ ค่ะ แล้วเค้าจะมีเหล้าดองโสมวางไว้ให้ด้วย 1 จอก คุณจะจิบเหล้าจากจอก หรือจะเทลงไปในไก่ตุ๋นโสมก็ได้ค่ะ ก็จะให้กลิ่นที่หอมๆ ดี

จบจากมื้อนี้แล้วก็เป็นรายการของคุณพี่ซ็อกเค้านะคะ งานแฟนมีตที่มหาวิทยาลัยเกาหลี อย่างที่ดิฉันเล่าให้ฟังไปแล้วตั้งแต่ตอนแรกๆ เลย หลังจากงานแฟนมีตแล้ว (หลังจากที่สาวๆ กรี๊ดพี่ซ็อก และน้องฮงกีที่บังเอิญเดินมาเจ๊อะกันพอดีตอนจะเดินไปขึ้นรถบัสของเรา) เราก็ไปทานมื้อค่ำกันค่ะ มื้อนี้เป็นบุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์ รู้สึกว่าขาปูจะโดนสังหารไปไม่น้อยเลยทีเดียว จากนั้นเราก็กลับโรงแรมไปพักผ่อนกันค่ะ (สำหรับวันนี้อาจมีภาพไม่ครบทุกช็อตนะคะ เพราะดิฉันกลัวว่าแบตจะหมดก่อนจะถึงพี่ซ็อกเลยใช้แบบทนุถนอมกันหน่อย)


วันพรุ่งนี้เราจะไปชมวิวกรุงโซลจากโซลทาวเวอร์กันค่ะ...

Next episode, we’ll go to N Seoul Tower…

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.